ชายฉกรรจ์ตบตะเกียบกับโต๊ะ กล่าวอย่างเดือดดาล “พอที เฉาซีเจ้าจะไม่แล้วไม่เลิกจริงๆ ใช่ไหม?!”
ขณะเดียวกันกับที่ตะเกียบตบลงบนโต๊ะ สตรีชาวเรือทุกคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ทว่าไม่ส่งผลต่อการหายใจของพวกนาง มือไม้ของพวกนางยังขยับคล่องแคล่ว แต่ดูเหมือนว่าแขกต่างถิ่นสองคนบนเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดจะมองไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรเลย
“ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว และอีกไม่นานสถานะของพวกเราสองคนก็จะถูกเปิดเผย จะดีจะชั่วเจ้าเซี่ยสือก็เป็นบุคคลที่ออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากจงใจปิดบังตัวตนกลับยิ่งจะทำให้คนสงสัย ไม่สู้ทำเหมือนข้าที่เดินอาดๆ เข้ามาในเมืองเล็ก แถมไม่แน่ว่าอาจจะยังไปต่อยตีกับคนอื่นด้วย ให้ต้าหลีได้เปิดหูเปิดตาซะบ้าง พวกเขาจะได้ไม่ทำเป็นมองไม่เห็นเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งอยู่ในสายตา”
เฉาซีกล่าวมาถึงตรงนี้ก็เหลือบตามองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มตาหยี “ต่างก็พูดกันว่าเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ประหนึ่งดวงตะวันร้อนแรงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ชั่วชีวิตไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ ทำไมครั้งนี้ถึงแหกกฎได้เล่า?”
เฉาซีโน้มตัวมาด้านหน้า คีบหัวไชเท้าดองชิ้นหนึ่งจากจานกระเบื้องใบเล็กสีเขียวอ่อน ส่งเข้าปาก “ก็แค่เครื่องเคลือบบิ่นแตกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ขอแค่เจ้าเปิดปากแล้วก็พยักหน้ารับ ข้าจะช่วยออกหน้าแก้ไขให้เจ้าเอง เซี่ยสือหนอเซี่ยสือ ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าเองก็อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้คนจูงจมูกเดินอยู่อีก? ไม่สมเพชตัวเองหรือไง?”
ชายฉกรรจ์หลุดหัวเราะพรืด “ไม่กลัวว่าลมแรงจะพัดลิ้นให้ขาดบ้างเลยรึ? (เป็นคำกล่าวให้คนระวังคำพูด อย่าพูดอะไรพล่อยๆ) คนที่ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเป็นคนที่พูดง่ายนักหรือไง?”
เฉาซีทำหน้าตะลึง “ทำไม เหล่าเซี่ยข่าวสารของเจ้าไม่รวดเร็วพองั้นหรือ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าเด็กรุ่นหลังในตระกูลข้าเพิ่งจะหมั้นหมายกับสตรีผู้หนึ่งที่เป็นลูกหลานสายตรงของสกุลเฉินผู้มากความรู้? สกุลเฉินเชิญให้ยอดฝีมือตระกูลลู่มาช่วยดูดวงให้ เจ้าลองเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร แปดคำมงคล! กิ่งทองใบหยก คู่สร้างคู่สม! เรื่องนี้ข้าไม่ได้โม้จริงๆ นะ เพราะในทวีปของพวกเรา ข่าวนี้ไม่ใช่ข่าวเล็กเลย”
เซี่ยสือแค่นหัวเราะ “เรื่องแบบนี้เจ้าเฉาซีไม่อับอายก็ยังพอว่า แต่นี่ยังทำหน้าภาคภูมิใจอีกรึ? ใครเขาให้หน้าเจ้ากัน?”
เฉาซีผู้หน้าหนาดั่งกำแพงถามย้อน “น่าอายตรงไหน? หลานชายของข้าอาศัยความสามารถที่แท้จริงหลอกว่าที่หลานสะใภ้มาได้ ข้าที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ทำไมจะไม่ยินดี?”
เซี่ยสือยกมือสองข้างกอดอก หรี่ตาเอ่ยเสียงหนัก “ว่ามาเถอะ สรุปว่าเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไร? หากเกี่ยวกับเรื่องของเครื่องปั้นชิ้นนั้น เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว ข้าไม่มีทางรับปากเจ้า เพราะนี่เป็นเรื่องในครอบครัวของข้า แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้าเฉาซี”
เฉาซีร้องปัดโธ่แล้วขยี้ตาตัวเอง “ไม่เสียแรงที่เป็นจอมยุทธ์ใหญ่เซี่ยผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ความซื่อตรงเที่ยงธรรมที่มีอยู่ทั่วร่างช่างเจิดจรัสสะดุดตา ทำเอาข้าต้องรีบขยี้ตาตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงทนไม่ไหว…”
เชือกสีเขียวบนข้อมือของผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนไม่สลักสำคัญเผยตัวอีกครั้ง
คนทั่วทั้งทักษินาตยทวีปต่างก็รู้ดีว่าวิชากระบี่ของเฉาซีไม่ถือว่าเป็นสุดยอดในบรรดาเซียนกระบี่พสุธา แต่กระบี่ประจำกายของเขาที่เป็นอาวุธอาคมชิ้นหนึ่งมากพอจะทำให้เขาอยู่ในสิบอันดับแรกของหนึ่งทวีปได้
และในความเป็นจริงแล้วบนข้อมือของเฉาซีได้ผูกน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งกำลังไหลกรากเอาไว้
แม่น้ำสายนี้ก็คือกระบี่ประจำกายของเฉาซี
สำหรับข่าวของทวีปอื่นที่ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไรพวกนี้ เซี่ยสือเคยได้ยินมานานแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังถามไปตรงๆ ว่า “เจ้าคิดว่าต้องตีกันสักรอบก่อน ถึงจะหุบปากได้?”
เฉาซีที่เอาแต่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มโคลงศีรษะพูด “คนในทักษินาตยทวีปต่างก็พูดว่าข้าเฉาซีอารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ นิสัยวิตถาร เซี่ยสือ เจ้ารู้สึกว่าคนอย่างข้าคบหาได้ยากมากใช่หรือไม่?”
เซี่ยสือเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ทุกครั้งที่เรือทัศนาจรจอดรับผู้โดยสารเพื่อตกลงเรื่องการค้า สตรีชาวเรือจะปลดโคมดวงหนึ่งที่แขวนอยู่บนตำแหน่งซึ่งกำหนดไว้ตรงหัวเรือออก แสดงให้รู้ว่าเรือลำนี้มีแขกเต็มแล้ว ไม่รับแขกอีก
เฉาซีโบกตะเกียบ “ผิดแล้ว ผิดมหันต์เลย บนโลกนี้คนที่คบหาได้ยากที่สุดคือคนอย่างเจ้าเซี่ยสือ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความในใจ”
เซี่ยสือหลับตา “ความอดทนของข้ามีจำกัด”
เฉาซีกลอกตาใส่อีกฝ่าย “ก็ได้ พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน มีคนไม่ต้องการเห็นสกุลซ่งแห่งต้าหลีลุกผงาด เจ้าเซี่ยสือกลับดื้อด้าน ยึดมั่นในคำสัญญา จำต้องออกมาจากภูเขา เป็นเหตุให้การเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวถูกถ่วงให้ล่าช้าออกไป”
“ไม่บังเอิญเลยก็คือ สกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่อาจทนเห็นฉีจิ้งชุนมีชีวิตที่ดีได้ แม้แต่ความประทับใจที่มีต่อต้าหลีในอดีตก็แย่ตามไปด้วย เพียงแต่ว่าวันนี้พวกเขาเปลี่ยนความคิดแล้ว จะด้วยสาเหตุใดก็ไม่รู้ แล้วข้าเองก็ไม่ได้สนใจ สรุปก็คือสกุลเฉินผู้มากความรู้ไม่เพียงแต่อาศัยนามของสกุลเฉินเมืองหลงเว่ยแห่งแจกันสมบัติทวีปสร้างโรงเรียนขึ้นในเมืองเล็ก ยังให้ข้าเดินทางไกลมาขัดขวางเจ้าเซี่ยสือเอาไว้ โดยจะจ่ายเงินเป็นของขวัญในวันแต่งงานให้แก่หลานชายของข้า”
“แม้จะไม่รู้แผนการอย่างเป็นรูปธรรม แต่เมื่อข้าปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว หลังจากนี้ก็จะต้องจับตามองเจ้าให้ดี”
เซี่ยสือไม่ได้ลืมตา แต่ปากกลับเอ่ยเยาะหยัน “เจ้าจะขวางข้าไว้ได้จริงๆ รึ?”
ในที่สุดเฉาซีก็กินกับแกล้มทั้งหลายในจานเล็กๆ จนหมด เขาวางตะเกียบลง กล่าวอย่างมาดมั่น “ข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้หรือไม่ แต่มั่นใจว่าขวางเจ้าไว้ได้”
เซี่ยสือพลันลืมตาหันขวับมามอง
มือกระบี่หน้าตาอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ไม่ได้พกกระบี่ยาวหรือสะพายกระบี่ยาว แต่วางกระบี่ยาวพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลัง ข้อศอกสองข้างค้ำไว้บนฝักกระบี่กำลังมองสบตากับเซี่ยสือด้วยรอยยิ้มบางๆ
ตอนอยู่ที่จวนของผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำใสลมแรง’ คนผู้นี้ดึงกระบี่ออกจากฝักแค่หนึ่งชุ่น ก็สามารถดึงเทือกเขาขนาดจิ๋วมาไว้ตรงหน้า ต้านรับกระบี่ที่คมกริบของเว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาเอาไว้ได้
ตอนอยู่เมืองหงจู๋ เขาเคยพบหน้าและดื่มเหล้ากับอาเหลียง ตอนอยู่บนเรือข้ามแม่น้ำซิ่วฮวา เขาเคยได้พูดคุยกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นดูเหมือนว่ายังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้จักกุมหมัดคารวะคนอื่นอีกด้วย สุดท้ายก็เป็นเขากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งนามว่าหลิวอวี้ที่พาเว่ยป้อแห่งเขาฉีตุนเดินทางไปที่หลงเฉวียน
ตอนนั้นเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนเรียกเขาว่า ‘คนผู้นั้นจากสำนักโม่’
……
เฉินผิงอันนั่งตรงข้ามกับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้นอยู่ในห้องเป็นนาน สุดท้ายเขาค้นพบว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ทำใจให้สงบไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ได้ ฝึกคัดตัวอักษรไม่ได้ แม้แต่ฝึกเดินนิ่งและท่าเจี้ยนหลูก็ยังทำไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงสะพายตะกร้าไม้ไผ่ เอากระบี่ไม้ไหวใส่ไว้ด้านใน ออกจากบ้านบรรพบุรุษ เดินออกมานอกตรอกหนีผิง จากนั้นก็ตรงดิ่งไปที่ภูเขาลั่วพั่ว
รอจนเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็ตกใจกันยกใหญ่
เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ หัวใจของเขาพลันสงบนิ่ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคิดจะเดินตามไปด้วย แต่ถูกเด็กชายชุดเขียวคว้าคอเอาไว้ เขาเอ่ยสั่งสอนเสียงเบา “เจ้านี่มันโง่จริงๆ ดูไม่ออกหรือไงว่านายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูทำหน้าเหลอหรา
เด็กชายชุดเขียวลากนางมานั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก พูดจามาดมั่นน่าเชื่อถือ “ด้วยนิสัยของนายท่านเรา มีแค่สองสถานการณ์เท่านั้นแหละที่ทำให้เขาผิดปกติแบบนี้ได้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเงี่ยหูรับฟังอย่างตั้งใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!