ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง กระบี่บินเล็กจิ๋วแต่ประณีตงดงามทอรัศมีวิบวาวหลายชั้น แสงนั้นช่างเจิดจ้าสะดุดตา
เฉินผิงอันอึ้งอยู่นาน แต่ในที่สุดเปิดปากเอ่ยว่า “ทำอะไร ปีใหม่แล้ว เจ้าอยากวิ่งออกมาสูดอากาศหายใจรึ? ทำไม กระบี่บินอย่างพวกเจ้าก็มีความพิถีพิถันในช่วงปีใหม่เหมือนกันหรือ?”
ปลายกระบี่ของมันสั่นน้อยๆ และเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า
หัวใจของเฉินผิงอันหดเกร็ง เตรียมพร้อมสำหรับการหนีตลอดเวลา
หลังจากมันหมุนวนครบหนึ่งรอบ ปลายกระบี่ก็ตวัดขึ้นเล็กน้อย ด้ามกระบี่ทิ้งตัวลงด้านล่าง คล้ายกำลังทำความรู้จักโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้
เสียงหาวหลังตื่นนอนของเด็กชายชุดเขียวดังมาจากในห้อง กระบี่บินพุ่งสวบเข้าหาหว่างคิ้วของเฉินผิงอัน ความเร็วนั้นมากจนเป็นเหตุให้ตำแหน่งเดิมยังเหลือภาพของมันค้างอยู่ กลางอากาศมีแสงเล็กบางราวกับเชือกยาวลากเส้นทิ้งเอาไว้ เร็วเหนือกว่าที่เฉินผิงอันคาดการณ์ไปไกล เดิมทีก็หลบไม่ทันอยู่แล้ว คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกแค่ว่าหว่างคิ้วเย็นวาบ พอยื่นมือไปลูบคลำ ไม่เพียงแต่ไม่มีช่องโพรงที่กระบี่บินแทงทะลุ แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็ยังไม่มี
พุ่งกลับเข้าร่าง หวนคืนไปยังช่องโพรง ง่ายดายเหมือนแค่ยกมือ
ราวกับเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งที่ใช้กระบี่เบิกทางบนสมรภูมิรบเพื่อเข้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอยู่
เฉินผิงอันคิดว่าหลังจากนี้จะไปถามแม่นางหร่วนว่ากระบี่บินบนโลกใบนี้มหัศจรรย์แบบนี้เหมือนกันหมดหรือไม่
ตรงหน้าประตู เด็กชายชุดเขียวที่คันไม้คันมือเต็มทีโอบประทัดหอบใหญ่ที่เตรียมพร้อมแล้วไว้ตรงหน้าอก เดินข้ามธรณีประตูออกมาพร้อมกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เขาเตะนางเบาๆ หนึ่งที เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบเอามือปัด นี่คือชุดใหม่ที่นายท่านซื้อให้นาง จากนั้นก็รีบหันไปถลึงตาใส่เขา “ทำอะไรของเจ้าน่ะ?”
เด็กชายชุดเขียวยืนอยู่ในลานบ้าน ถอนหายใจพูดว่า “เจ้าโง่หรือไง เป็นถึงงูหลามไฟ เกิดมาก็เชี่ยวชาญวิชาแห่งไฟอยู่แล้ว งั้นก็รีบๆ เอาไฟจุดประทัดเข้าสิ!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกะพริบตาปริบๆ ที่แท้คาถาแห่งไฟก็เอามาใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ?
ตลอดระยะของการเดินทาง ไม่ว่าจะหุงข้าวหรือทำอาหาร นายท่านล้วนก่อไฟด้วยตัวเองทุกครั้ง ต่อให้จะเป็นค่ำคืนที่ฝนตกหรือมีพายุหิมะก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย
เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึง นางเองก็คิดไม่ถึง ส่วนเด็กชายชุดเขียวก็คาดว่าคงคร้านจะพูด
ภายใต้การร่วมมือกันของเด็กน้อยทั้งสอง เสียงประทัดดังสนั่นแทนคำบอกลาปีเก่า
และไม่นานในตรอกหนีผิงก็มีเสียงประทัดดังมาจากจุดอื่นขานรับกันเป็นทอดๆ
เด็กชายชุดเขียวเล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรอจนประทัดชิ้นสุดท้ายเผาไหม้หมดแล้วถึงไปหยิบไม้กวาดมาจากในบ้าน เตรียมจะเอามากวาดพื้น เฉินผิงอันรับไม้กวาดมายิ้มๆ แล้วคว่ำไม้กวาดลงวางแนบกับกำแพง เพราะตามธรรมเนียมของเมืองหลงเฉวียน วันแรกของเดือนอย่างวันนี้ ทุกบ้านจะต้องวางไม้กวาดกลับหัว เพื่อแสดงให้รู้ว่าวันนี้จะไม่ทำอะไรทั้งสิ้นนอกจากพักผ่อน
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงมุมกำแพง มองลานบ้านข้างๆ ที่เงียบสงัดด้วยอารมณ์ซับซ้อน เขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเลือกที่จะหยิบกลอนปีใหม่และตัวอักษรฝูสองตัวไปแปะบนกำแพงบ้านของบ้านข้างๆ
เด็กชายชุดเขียวถามยิ้มๆ “บ้านของเพื่อนรักนายท่านหรือ?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “ขอแค่ไม่เป็นศัตรูกันก็พอแล้ว”
กลับมาที่บ้านตัวเอง เฉินผิงอันยืนอยู่ในตรอกหน้าบ้าน มองไปทางเทพทวารบาลสีสันสดใสสองแผ่นบนประตู หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ เทพฝ่ายบุ๋นถือแผ่นหยก เทพฝ่ายบู๊ถือคทาเหล็ก เฉินผิงอันรู้สึกว่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังดูแปลกประหลาด แต่ไหนแต่ไรมากระดาษภาพเทพทวารบาลที่ขายช่วงปลายปีในเมืองเล็กมักจะมีหลากสีหลายรูปแบบ นอกจากเทพทวารบาลฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แล้ว ยังมี ‘เทพเซียน’ อีกมากมายซึ่งรวมถึงเทพทวารบาลและเทพแห่งความร่ำรวยอยู่ด้วย แต่ปีนี้เทพทวารบาลทั้งหมดในเมืองเล็กล้วนสร้างตามระเบียบเดียวกัน ได้ยินเจ้าของร้านบอกว่าเป็นกฎที่ที่ว่าการกำหนดมา อีกทั้งองค์เทพร่างทองที่จะตั้งไว้ในศาลบุ๋นและศาลบู๊ของเมืองเล็กในอนาคตก็ยังเป็นสองท่านที่ถูกวาดไว้บนกระดาษนี้ด้วย
เฉินผิงอันนึกถึงประโยคนั้นที่หยางเหล่าโถวเคยพูดถึง ยิ่งสัมผัสยิ่งลึกซึ้ง
เขาปัดเป่าความขุ่นมัวที่อยู่ในใจออกไป เริ่มนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้าน ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งตัวเล็กต่ออีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวเอาสองมือไพล่หลังเดินเตร่อยู่ในลานบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิม โหวกเหวกเสียงดังว่าวันนี้เขาจะตั้งใจฝึกตน ให้นายท่านและนังเด็กโง่ต้องมองตนเสียใหม่ และเมื่อถึงปลายปี เขาก็จะสามารถเดินเบ่งไปทั่วเมืองเล็ก ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดเก้าหน้าไหนอีกแล้ว
พูดมาถึงช่วงท้าย เด็กชายชุดเขียวก็ยิ้มประจบ “นายท่าน ขอแค่ท่านมอบหินดีงูที่ค่อนข้างดีให้ข้าอีกสักสองสามก้อน อย่าว่าแต่สิ้นปีเลย พรุ่งนี้ข้าก็สามารถเอาชนะทุกคนในเมืองเล็กได้ ถึงเวลานั้นนายท่านก็พาข้าไปรังแกบุรุษย่ำยีสตรีบนถนน ทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้ต่ำช้าที่ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา เจอผู้หญิงสวยคนไหนก็ลากมาที่ตรอกหนีผิง วะฮะฮ่า นายท่าน แค่คิดก็อารมณ์ดีแล้วใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันเอื้อมมือไปคว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งมาจากเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู พยักหน้าพูดว่า “แค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอแล้ว”
ใบหน้ายิ้มระรื่นของเด็กชายชุดเขียวเหี่ยวแฟบลงทันควัน เขาทอดถอนใจพลางนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน ประกบฝั่งซ้ายขวากับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู เหมือนเทพทวารบาลน้อยๆ สององค์ เพียงแต่เขารู้สึกว่าวันแรกของปีใหม่ไม่มีการเริ่มต้นด้วยลางดีออกจะอัปมงคลไปสักนิด ดังนั้นจึงควักหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งออกมาเคี้ยวกร้วมๆ ได้แต่หาฤกษ์ชัยอันดีงามให้กับตัวเอง
และเวลานี้เอง จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยิบถุงขนาดเล็กที่เย็บอย่างประณีตสองถุงออกมาจากในชายแขนเสื้อ นี่เป็นหนึ่งในสินค้าปีใหม่ที่วางขายในร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลงของเขาเอง เขายื่นส่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองพลางเอ่ยเย้า “รับเอาไว้ นี่คือเงินยาสุ้ย (หรือเงินอั่งเปาที่มอบให้กันในวันตรุษจีน) ที่นายท่านมอบให้พวกเจ้า”
ทีแรกเด็กชายชุดเขียวไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก แต่พอเปิดออกดู ลูกตาเขาก็เกือบถลนออกจากเบ้า นั่นคือหินดีงูที่มีคุณภาพยอดเยี่ยมก้อนหนึ่ง สีสันเรืองรองดุจแสงยามตะวันรอน
ก้อนที่อยู่ในมือของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็เป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมเช่นกัน
ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวเห็นอย่างชัดเจนว่า นอกจากหินดีงูธรรมดาเก้าก้อนสิบก้อนแล้ว หลังจากเฉินผิงอันกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ ในห่อสัมภาระยังเหลือหินดีงูมูลค่าควรเมืองอีกสิบเอ็ดก้อน จากนั้นก็มอบให้พวกเขาคนละสองก้อน เท่ากับหายไปสี่ก้อน ตอนนี้ยังเอาออกมาอีกสองก้อน ก็ไม่เท่ากับว่าหายฮวบไปครึ่งหนึ่งเลยหรือ?
เฉินผิงอันเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นกุมารแห่งทรัพย์สินที่มอบความร่ำรวยเพื่อผูกบุญสัมพันธ์กับผู้คนหรืออย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!