จะอย่างไรก็เคยเป็นขุนนางระดับล่างที่ลงหลักปักฐานอยู่ในเมืองเล็กมาหลายปี อีกทั้งยังชอบทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง มักจะไปขลุกอยู่ในเตาเผามังกรสามสิบกว่าแห่งตลอดทั้งปี มาดความเป็นขุนนางบนร่างซ่งอวี้จางจึงถูกเกลาให้ราบเรียบนานแล้ว อย่าว่าแต่มุขตลกขบขันเลย แม้แต่คำพูดหยาบคายต่ำช้า เขาก็ยังรู้ไม่น้อย
เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “ดีนักนะ ท่านซ่งปรับตัวจากวงการหนึ่งไปเข้าอีกวงการหนึ่งได้รวดเร็วปานนี้ นับว่าหัวไวยิ่ง”
ซ่งอวี้จางถามยิ้มๆ “ท่านที่อยู่ทิศเหนือคือ?”
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ขนาดพระพุทธรูปยังต้องแย่งชิงก้านธูปเลย แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างพวกเขาที่ต้องอาศัยควันธูปเพื่อดำรงชีพ
กลอุบายอ้อมค้อม คนที่ทำตัวเป็นแมลงวันซอกซอนเข้าโพรงโน้นเจาะโพรงนี้ ไม่ได้น้อยไปกว่าวงการขุนนางในโลกมนุษย์เลย
เว่ยป้อคิดแล้วก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่ายสักเท่าไหร่ ตอนมีชีวิตอยู่เป็นแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่มีคุณความชอบในการรบอย่างสูง อารมณ์ร้ายมาก แต่ได้ยินมาว่าเขาสนิทกับสองท่านที่อยู่ในหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่งมาก”
ซ่งอวี้จางพูดอย่างสนุกสนาน “ขุนนางจะเป็นกันแบบนี้ไม่ได้ ไม่คาระเทพที่แท้จริง ดันไปคารวะเทพนอกรีต เข้าผิดศาล จุดธูปผิดที่ กาลภาคหน้าย่อมต้องลำบากแน่”
เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังอย่างถูกใจ ยกนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย “ประโยคนี้พูดได้สาแก่ใจข้านัก”
เว่ยป้อขยับนิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ท่ามกลางเมฆหมอกก็ขยับสูงตามไปด้วย สุดท้ายเผยให้เห็นภาพมุมหนึ่งอย่างชัดเจน
บนผิวลำธารมีคนผูกเชือกเส้นหนึ่งเอาไว้ ปลายเชือกสองด้านผูกอยู่บนต้นไม้สองต้น ขวดเล็กใบหนึ่งที่เปิดฝาจุกถูกผูกไว้กลางเชือก
ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่บนฝั่ง เด็กหญิงสวมชุดกระโปรงชมพูคอยกระโดดเบาๆ แกว่งเชือกให้ขยับ ขวดที่อยู่บนผิวน้ำก็แกว่งตามไปด้วย
เว่ยป้ออธิบาย “นี่ก็คือขวดเร่าเหลียงคุณภาพดีใบหนึ่ง พวกมันสามารถกักเก็บเสียงที่งดงามมากมายในโลก ขวดที่เห็นอยู่ตอนนี้จำเป็นต้องมีคนคอยแกว่งเชือกให้เบาๆ จึงจะช่วยให้ขวดน้อยดูดซับเสียงน้ำได้ดียิ่งขึ้น หากไม่ทำเช่นนี้จะต้องเสียเวลานานมากกว่าจะเก็บเสียงไว้ได้เต็มขวด”
ซ่งอวี้จางถาม “เป็นขวดของเฉินผิงอันเจ้าของภูเขา?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว เจ้าคิดยังไงกับเฉินผิงอัน?”
ซ่งอวี้จางตอบอย่างไม่ลังเล “เพราะซ่งจี๋ซิน…เพราะความเกี่ยวข้องกับองค์ชาย ข้าจึงรู้เรื่องระหว่างการเติบโตของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน ดังนั้นความประทับใจที่มีต่อเขาจึงดีมาก ได้มาเป็นเทพภูเขาลั่วพั่ว สำหรับข้าแล้วจึงนับว่าไม่เลวเลย”
เว่ยป้อหันขวับมามองเทพภูเขาผู้ปกครองพื้นที่แถบนี้ เป็นครั้งแรกที่เรียกซ่งอวี้จางว่าใต้เท้าซ่ง จากนั้นก็ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าอย่าบอกนะว่า เจ้าไม่เคยคิดถึงสถานการณ์หนึ่ง นั่นคือต้าหลีต้องการให้เจ้าจับตามองเฉินผิงอัน และไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะบอกให้เจ้าทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเองก็ได้”
ซ่งอวี้จางยิ้มสง่างาม “ต้องเดาได้อยู่แล้ว ต้าหลีของข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายเพราะเรื่องนี้ เพื่อสร้างสะพานแบบคานแห่งนั้นมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีต้าตายไปตั้งเท่าไหร่ เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้อยู่แล้ว ดังนั้นในเมื่อวันนี้ชะตาชีวิตของเฉินผิงอันพลิกกลับ โชควาสนายิ่งใหญ่มาเยือน จะไม่ให้ต้าหลีของข้าป้องกันเหตุไม่คาดฝันเลยได้อย่างไร?”
ต้าหลีของข้า!
เมื่อมีชีวิตอยู่ภาคภูมิใจในสิ่งนี้ ตายไปแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน นี่กระมังที่เรียกว่าถึงตายก็ไม่สำนึก?
เว่ยป้อเงียบไปนาน เรียกไอหมอกเหล่านั้นกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อประหนึ่งม้วนตลบฝูงนกกลับคืนรัง ซ่งอวี้จางถึงขนาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความลิงโลดร่าเริงของพวกมัน
เว่ยป้อคลี่ยิ้ม “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็หายตัวไป
เหลือซ่งอวี้จางอยู่ในศาลเทพภูเขาเพียงลำพัง เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง หรือว่าตนไม่เหมาะจะเป็นขุนนางจริงๆ ถึงได้พบเจอแต่อุปสรรค ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เว่ยป้อเทพเซียนชุดขาวพาเด็กหนุ่มเฉินผิงอันสำรวจตรวจตราไปรอบทิศ ความหมายในการกระทำนี้ ใครบ้างที่ไม่เข้าใจ?
ซ่งอวี้จางย่อมรู้ดี รูปปั้นในศาลเทพภูเขาทางทิศเหนือก็รู้ดีเช่นกัน กองกำลังตระกูลเซียนทั้งหมดที่ซื้อภูเขาไว้ มีใครบ้างที่ไม่อยู่มานานจนกลายเป็นยอดคน แน่ล่ะว่าพวกเขายิ่งรู้ชัดอยู่แก่ใจ
เว่ยป้อจงใจพาเด็กหนุ่มเดินไปทั่วภูเขาใหญ่แต่ละลูก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการบอกความจริงข้อหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันมีข้าเว่ยป้อคุ้มครอง พวกเจ้าที่เป็นคนนอก ไม่ว่าจะมีที่มาอย่างไร ขอแค่หวังจะมาขอข้าวกินในถิ่นข้าถ้วยหนึ่ง ก็ควรต้องชั่งน้ำหนักของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือองค์ใหม่ดูสักหน่อย เพราะเขาเว่ยป้อไม่ใช่เทพแห่งภูเขาทั่วไป ในอนาคตมีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีพละกำลัง ถิ่นฐานและอำนาจมากที่สุดของพื้นที่ครึ่งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปนับจากทิศเหนือของสำนักศึกษากวานหูขึ้นมา เพียงหนึ่งเดียว!
……
เพิ่งจะผ่านปีใหม่มาได้สามวันก็เริ่มมีคนออกจากบ้านเดินทางท่องเที่ยวแล้ว
ในกลุ่มภูเขาทางทิศตะวันตกของเมืองเล็ก ชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊อกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งท่าทางเหมือนเด็กรับใช้ ต่างคนต่างถือไม้เท้าไม้ไผ่ไว้ในมือ พากันเดินขึ้นเขาลงห้วย มุ่งหน้ามาทางภูเขาลั่วพั่ว
บัณฑิตสะพายหีบหนังสือใบหนึ่ง
เด็กหนุ่มรับใช้ใบหน้างดงาม ไร้ตำหนิข้อบกพร่อง ไม่แพ้โฉมสะคราญคนใด
บุรุษที่เขาติดตามมาคือคนในพื้นที่ของเมืองเล็ก ตอนนี้เมื่อสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยมาเปิดโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็ก บุรุษจึงรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงเหล่าปัญญาชนผู้มากความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือสี่ทิศได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจได้รับการเรียกขานว่าเป็นอาจารย์นักปราชญ์ แต่พวกเด็กๆ ในโรงเรียนกลับชื่นชอบเขามาก ชอบฟังเขาเล่าเรื่องแปลกพิสดารเต็มไปด้วยสีสัน หรือไม่ก็เรื่องราวงดงามจับใจอย่างเช่นเรื่องที่จิ้งจอกชื่นชอบบัณฑิต ส่วนเด็กหนุ่มก็ยิ่งชมชอบเขา ตามตื๊อตอแยอยู่นาน เขาถึงยอมรับปากเป็นอาจารย์ของตน
เด็กหนุ่มเป็นคนสนใจใคร่รู้ทุกเรื่องราวมาตั้งแต่เกิด เขาอาศัยอยู่ในบ้านบรรพบุรุษสกุลหยวนที่เมืองเล็กเพียงลำพัง เวลานี้เอ่ยถามขึ้นว่า “อาจารย์ อริยะของลัทธิเต๋าเคยกล่าวว่า ชั่วหนึ่งชีวิตคนอาจมองเห็นขอบเขต แต่กลับไม่มีขอบเขตสำหรับความรู้ความเข้าใจ เอาชีวิตคนที่มองเห็นขอบเขตไปแสวงหาความรู้ความเข้าใจที่ไร้ขอบเขต อันตรายก็มาเยือน แบบนี้จะทำอย่างไรดี?”
ชายสวมชุดขงจื๊อกำลังคิดถึงอย่างอื่นจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที
เด็กหนุ่มเคยชินกับอาการใจลอยของอาจารย์ตัวเองมานานแล้ว จึงเอ่ยคำถามของตัวเองต่อไป “แล้วอริยะท่านนั้นก็บอกอีกว่า คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ประหนึ่งควบม้าขาวผ่านร่องแคบ เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไป เห็นได้ชัดว่ายิ่งเป็นการเสริมหลักฐานให้กับข้อแรก แล้วแบบนี้จะเข้าใจอย่างไรล่ะ?”
ในที่สุดบุรุษก็คืนสติ จึงตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพราะฉะนั้นถึงต้องฝึกตนอย่างไรล่ะ ทุกครั้งที่ข้ามผ่านธรณีประตูหนึ่งบานก็จะมีชีวิตยืนยาวไปอีกสิบปี อีกร้อยปี ก็จะได้อ่านหนังสือมากขึ้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!