ส่วนเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นกำลังกินของทานเล่นอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เหมือนเป็นเจ้านายยิ่งกว่านายท่านของตัวเอง
เว่ยป้อมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน จนกระทั่งเฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลูแล้ว เว่ยป้อถึงได้หมุนตัวไปบอกให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูช่วยยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาให้ บอกว่าเขามีธุระจะต้องคุยกับนายท่านของนาง
ไม่รอให้เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูลงมือ เด็กชายชุดเขียวก็วิ่งปรู๊ดไปหยิบเก้าอี้มามือละตัว พอวางเก้าอี้ไม้ไผ่เรียบร้อยยังไม่ลืมค้อมตัวกระดกก้น ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเก้าอี้อย่างตั้งใจ
เขามายืนอยู่กับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ทันได้เห็นสายตารังเกียจจากนาง เด็กชายชุดเขียวก็พูดอย่างมาดมั่นมีเหตุผล “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร นี่เรียกว่าลูกผู้ชายยืดได้หดได้!”
เว่ยป้อและเฉินผิงอันนั่งเคียงกันบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็ก เขาเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนว่า “อย่าโทษที่ข้าแอบมองภาพเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในเรือนไม้ไผ่ ตอนนั้นที่เจ้าช่วงชิงปณิธานกับตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้น สถานการณ์อันตรายเกินกว่าที่เจ้าคาดคิดไปไกลมาก หากเบาหน่อยก็ธาตุไฟเข้าแทรก หนักก็คือตายคาที่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ปมในใจเล็กๆ ที่มีอยู่พลันคลายออกไปด้วย
เว่ยป้อเอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกกระบี่มีสองเรื่องให้ต้องทำ ฝึกกระบี่และหลอมกระบี่ ฝึกก็คือฝึกวิชาเวทคาถาของกระบี่ ฝึกคำเดียวกับคำว่าฝึกฝน หลอมก็คือกระบี่ที่พกติดกายและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต หลอมคำเดียวกับคำว่าหล่อหลอม”
หลังจากอธิบายถึงสาระสำคัญอย่างเรียบง่ายจบแล้ว เว่ยป้อก็หยุดชะงักไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญต่อคำพูดที่จะพูดในวันนี้อย่างมาก “เพราะข้ามองตื้นลึกหนาบางของลำดับชั้นตัวอ่อนกระบี่ก้อนนั้นของเจ้าไม่ออก จึงไม่อาจสรุปส่งเดช แต่ข้าสามารถพูดถึงหลักการบางอย่างที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันให้เจ้าฟังแบบง่ายๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นการขัดเกลากระบี่บินเล่มหนึ่งที่จับต้องได้จริง หรือการหล่อหลอมและเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งด้วยความอบอุ่น ซึ่งล้วนจำเป็นต้องใช้ของวิเศษหายากแห่งฟ้าดินจำนวนเหลือคณานับ ดังนั้นการที่ข้าพาเจ้าเดินไปทั่วภูเขาต่างๆ รอบหนึ่งก็เพราะต้องการให้เจ้าเข้าใจเรื่องหนึ่ง การฝึกตนบนภูเขาจำเป็นต้องกินภูเขาเงินภูเขาทองเป็นลูกๆ คนมีเงินหรือเศรษฐีด้านล่างภูเขา อาจพูดได้ว่ามีทรัพย์สินมากมายผ่านไปหลายรุ่นก็ใช้ไม่หมด แต่บนภูเขา ไม่มีใครที่ใช้เงินของชีวิตนี้ไม่หมด อาจจะมี…บรรพบุรุษของสามลัทธิกระมังที่เป็นข้อยกเว้น”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่อยู่ด้านหลังนั่งสงบสำรวม เงี่ยหูตั้งใจฟัง
เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางที่เป็นงูหลามไฟตัวหนึ่งแม้แต่น้อย แต่เกี่ยวข้องกับนายท่านของนางอย่างมาก นางจะไม่ตั้งใจฟังได้อย่างไร หากนายท่านฟังตกหล่นไป หลังจากนี้นางก็จะได้ช่วยเสริมให้
เด็กชายชุดเขียวรับฟังด้วยความเบื่อหน่าย ถึงกับกลอกตามองบน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟังคำพูดของเว่ยป้ออย่างยิ่ง หากวันนี้เว่ยป้อไม่พูด ลงจากภูเขาไป เขาก็คิดจะไปถามหร่วนซิ่วอยู่แล้ว
เว่ยป้อสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ท่าทางเช่นนี้ของเขาค่อนข้างคล้ายเด็กหนุ่มชุยฉาน จากนั้นจึงพูดต่อเนิบช้า “มีคุณสมบัติที่จะกลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ คือธรณีประตูขั้นแรกของผู้ฝึกลมปราณ เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่แล้ว มีเงินที่จะหล่อหลอมกระบี่บินหรือไม่ คือธรณีประตูขั้นที่สอง อีกทั้งธรณีประตูขั้นนี้ยังไม่ต่ำด้วย ระดับความแข็งแกร่งทนทานของกระบี่เล่มหนึ่งตัดสินกันที่ระดับความหนาแน่นของตัวกระบี่เอง ดังนั้นจำเป็นต้องผ่านการทุบตีหล่อหลอมนับร้อยนับพันรอบจากช่างหลอมกระบี่ นอกจากนี้ก็ยังมีระดับความแหลมคมของกระบี่ที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมหน้าผาแท่นสังหารมังกรแห่งนั้นถึงได้มีมูลค่ามากนัก เป็นเหตุให้อริยะหร่วนฉงไม่กล้าฮุบไว้คนเดียว จำเป็นต้องดึงเอาศาลลมหิมะและเขาเจินอู่มาแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน ถึงจะป้องกันไม่ให้คนอื่นเกิดความละโมบได้”
เฉินผิงอันปลงอนิจจังอยู่ในใจ ที่แท้อริยะก็มีเรื่องให้จำใจเหมือนกัน
เว่ยป้อชี้นิ้วไปยังภูเขาด้านหลังลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล ที่นั่นมีแท่นสังหารมังกรขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง “ขอแค่เป็นอาวุธเทพ ข้อเรียกร้องที่มีต่อหินลับอาวุธก็ยิ่งสูง นี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้แท่นสังหารมังกรมีมูลค่าควรเมือง ราคาสูงเกินกว่าที่จะเอามาวางขายกันในตลาด เป็นของหายากมากพอจะกักตุนเอาไว้เก็งกำไรได้ เพราะขอแค่มีอยู่ในมือ ไม่ว่าอย่างไรก็ได้กำไร เว้นเสียแต่ว่าถึงเวลาคับขัน จำเป็นต้องใช้เงินแบบเร่งด่วนจริงๆ ถึงจะมีคนยอมปล่อยให้มันหลุดมือ ถ้าหากร้านผ้าห่อบุญปล่อยข่าวออกไปว่าจะขายแท่นสังหารมังกรขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ข้าว่าตลอดทั้งภูเขาหนิวเจี่ยวคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนแน่ๆ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็ชี้หน้าเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอันหนอเฉินผิงอัน ทำไมหินดีงูที่เจ้ายกให้คนอื่นเหมือนยกผักกาดขาวถึงมีค่ามากนัก เพราะยาทุกชนิดบนโลกมีพิษอยู่สามส่วน ยาทั่วไปต่อให้จะได้ผลดีแค่ไหน ระดับสูงเท่าไหร่ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อช่องโพรงในร่างกายคนระดับหนึ่ง กว่าจะกำจัดออกไปได้นั้นยากแสนยาก ตอนแรกเริ่มยังสามารถกดกำราบ ปล่อยให้สะสมอยู่ในช่องโพรงบางช่องที่ค่อนข้างห่างไกลได้ แต่เมื่อตบะของผู้ฝึกลมปราณเพิ่มสูงขึ้น สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะยิ่งเด่นชัด หากใช้วิชาอภินิหารมองทะลุร่างภายใน ข้อบกพร่องน้อยนิดเหล่านั้นจะยิ่งขยายใหญ่ ส่งผลกระทบต่อมหามรรคา ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบถูกคนในโลกเรียกว่าอริยะได้แล้ว แต่ทำไมพวกเขาแต่ละคนถึงทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง? เพราะชอบเป็นตะพาบเฒ่างั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะพวกเขากำลังขจัดสิ่งสกปรกในร่างไปทีละนิดอย่างยากเย็นต่างหาก”
เด็กชายชุดเขียวตกใจ รีบยืดตัวนั่งหลังตรงแน่ว ไม่กระดุกกระดิก ไม่กล้ามองนู่นมองนี่เรื่อยเปื่อยอีกแล้ว
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรู้สึกละอายใจ อันที่จริงนางคิดมาโดยตลอดว่าจะช่วยเก็บหินดีงูชั้นเยี่ยมสามก้อนนั้นเอาไว้ให้นายท่านของตน นางจะไม่กินมันเด็ดขาด
เว่ยป้อกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จากนี้ข้าจะบอกความลับบางอย่างแก่เจ้า เป็นความลับที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยกว่าจะได้รู้มา เฉินผิงอัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เอาไปพูดส่งเดช”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ตอนนี้นอกจากแม่นางหร่วนกับพี่ใหญ่หลี่แล้ว ในเมืองเล็กก็ไม่มีใครให้ข้าพูดคุยได้อีก”
เว่ยป้อจึงพูดต่อว่า “เจ้าเคยได้ยินชื่อภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
เฉินผิงอันหน้าเปลี่ยนสี ไม่พูดตอบ แต่ก็ไม่ส่ายหน้าหรือพยักหน้ารับ
เว่ยป้อนึกว่าชายฉกรรจ์สวมงอบเคยพูดถึง จึงไม่แปลกใจอะไร “ภูเขาห้อยหัวเกิดจากการทุ่มเงินมหาศาลเทียมฟ้าจากหนึ่งในสามลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋า สามารถพูดได้ว่าเป็นตราประทับอักษรขุนเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลุกเสกด้วยคาถาเต๋าอันยิ่งใหญ่ไพศาล ตระหง่านง้ำไม่มีวันล่มสลาย สถานที่แห่งนี้คือจุดตัดระหว่างใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เป็นด่านยิ่งใหญ่และสำคัญแห่งแรก…และอาจจะกลายมาเป็นแห่งสุดท้าย”
เฉินผิงอันถาม “ทำไมถึงเป็นแห่งสุดท้าย?”
เว่ยป้อยิ้มขื่น “หากน้ำป่าทะลักทำนบพัง หลังจากนั้นจะขัดขวางอย่างไร?”
เว่ยป้อเงยหน้า หลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจพูด “ดังนั้นไม่เพียงแต่อุตรกุรุทวีปอันเป็นทวีปแห่งผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าแห่งอื่น อย่างกลุ่มเซียนที่คราวก่อนบินผ่านแจกันสมบัติทวีปแล้วลดระดับลงต่ำ เผยโฉมหน้าในเวลาสั้นๆ ตอนผ่านเมืองเล็กของพวกเจ้า ครั้งนี้ก็ล้วนถูกเรียกตัวให้ไปที่ภูเขาห้อยหัว และต้องผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อต้านรับการรุกรานจากเผ่าปีศาจที่มาจากใต้หล้าอีกแห่งหนึ่ง”
“ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจอาละวาด ก่อให้เกิดสงคราม ก็จะต้องเรียกให้ผู้ฝึกกระบี่ไปที่ภูเขาห้อยหัว ผ่านภูเขาเข้าไปในเมือง ขัดเกลาวิถีแห่งกระบี่ระหว่างศึกตัดสินเป็นตายอยู่บนกำแพงเมืองสูงใหญ่แห่งนั้น”
“กำแพงเมืองปราณกระบี่คือจุดศูนย์รวมของเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า เป็นที่ที่มีเซียนกระบี่มากที่สุดสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อันตรายที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นั่นขาดแคลนอะไรมากที่สุด?”
เว่ยป้อหันมามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันได้แต่ส่ายหน้า
เว่ยป้อจึงให้คำตอบ “ขาดแคลนกระบี่!”
“เพราะสงครามของที่นั่นเกิดขึ้นถี่เกินไป อีกทั้งยังโหดร้ายอย่างมาก กระบี่มีชื่อเสียงอันเป็นอาวุธเทพล้ำโลกที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนขั้นเป็นอาวุธอันดับต้นแห่งทวีปซึ่งถูกเซียนกระบี่มากมายพกพาไปที่นั่น บ้างก็ตัวกระบี่หัก บ้างก็ปณิธานกระบี่แตกย่อยยับ เจ้าของกระบี่ตายดับ บาดเจ็บล้มตายนับจำนวนไม่ถ้วน ดังนั้นการที่ผู้ฝึกระบี่ซึ่งเกิดและเติบโตที่นั่นจะได้ครอบครองกระบี่ดีๆ สักเล่มจึงยากมากๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!