กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 191

สรุปบท บทที่ 191.2: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 191.2 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 191.2 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

กระบี่จงมา – บทที่ 191.2 ทำการค้าก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง
บทที่ 191.2 ทำการค้าก็คือการฝึกตนอย่างหนึ่ง
โดย
ProjectZyphon
ที่แท้เด็กสาวก็คือสาวใช้ของซ่งจี๋ซินองค์ชายต้าหลี จื้อกุย ชื่อจริงหวังจู ตัวตนที่แท้จริงแปลกประหลาด เพราะเป็นไข่มุกที่เกิดจากการรวมตัวของจิตวิญญาณมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายบนโลก

จื้อกุยคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มี”

ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้โกรธเคืองอะไร ยังคงดื่มเหล้าของตัวเองต่อไป

ผ่านไปไม่นานนักก็มีคนสามคนเดินเข้ามาในจุดพักม้า เศรษฐีเฉาซี เซี่ยสือบุรุษผู้เงียบขรึม จอมยุทธ์สำนักโม่สวี่รั่ว

บุคคลยิ่งใหญ่สองคนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู พอเห็นเด็กสาวและแน่ใจในปราณขุมที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง เฉาซีตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น ยื่นนิ้วชี้ไปที่เด็กสาว “แม่งเอ้ยอับอายขายขี้หน้าไปถึงบ้านยายแล้ว เจ้าคนที่ปีนั้นทำให้ข้าผู้อาวุโสตกใจเกือบตาย ที่แท้ก็คือแม่นางน้อยบอบบางผู้นี้เองหรือ”

เซี่ยสือยกสองมือขึ้นกุม โค้งตัวให้กับเด็กสาว “เซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตไว้ถึงสองครั้ง!”

จื้อกุยสีหน้าเย็นชา เพียงแค่พยักหน้าให้เซี่ยสือเล็กน้อย ส่วนเฉาซีนั้น นางไม่แม้แต่จะปรายตามอง

สวี่รั่วยกสองแขนกอดอก เอนตัวพิงประตู หลับตาทำสมาธิ

หากเรื่องในวันนี้คุยกันรู้เรื่องก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว แต่หากคุยกันไม่เป็นผล แบบนั้นแหละที่เกี่ยวข้องกับเขามากๆ

เสียงหัวเราะของเฉาซียังดังไม่หยุด เขานั่งแปะลงตรงข้ามกับเด็กสาว หัวเราะหึหึ ทำสีหน้ากวนโอ๊ยเหมือนคนเห็นสมบัติล้ำค่า “ตอนนั้นข้ายืนอยู่บนปากบ่อโซ่เหล็กแล้วฉี่ลงไปข้างล่าง ผลกลับกลายเป็นว่าเพิ่งฉี่ได้แค่ครึ่งเดียว ไม่เพียงแต่เสียงโซ่เหล็กดังขึ้นครืดคราด น้ำทั้งบ่อยังเอ่อมาถึงฝ่าเท้า ทำเอาข้าตกใจจนไม่กล้าฉี่ให้เสร็จ กางเกงก็ไม่ทันถกขึ้นให้ดี สภาพตอนนั้นเรียกได้ว่ากลัวจนเยี่ยวหดตดหายอย่างแท้จริง ชีวิตข้าเฉาซีทำเรื่องฉาวโฉ่มามากมาย แต่เรื่องนี้สามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกได้แน่นอน!”

ในที่สุดจื้อกุยก็ไม่ตีหน้าเคร่งอีกต่อไป คราวนี้นางหันมาถลึงมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “หากไม่เป็นเพราะเจ้าหนีไปเร็ว ข้าก็จะให้เจ้าดื่มน้ำบ่อจนท้องแตกตาย!”

เฉาซียื่นนิ้วข้างหนึ่งมาลูบหนวด กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “ข้าจำไว้ว่าหนึ่งเดือนเต็มหลังจากนั้น ข้าต้องยืนอยู่ห่างบ่อโซ่เหล็กไปไกลถึงสองจั้ง พยายามโยนหินเข้าไปในบ่อ กระแทกโดนเจ้าบ้างหรือเปล่า? คงต้องโดนบ้างสักครั้งแหละมั้ง?”

จื้อกุยถลึงตาหัวเราะ “เกิดมาก็มีนิสัยชั่วช้า ข้าล่ะเสียใจนักที่ไม่ได้ปล่อยให้เจ้าจมน้ำตายอยู่ในลำธาร!”

เฉาซีไม่โกรธกลับยังขำ “ตอนเด็กเกเรอยู่บ้างจริงๆ ฮ่าๆ นิสัยเด็กนี่นา แต่ข้าก็ชอบผายลมในน้ำตอนที่ลงเล่นน้ำกับคนวัยเดียวกันเท่านั้น ช่วยไม่ได้ ข้าชอบมองฟองอากาศผุดมาจากด้านหลังแล้วลอยขึ้นบนผิวน้ำมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว แต่ข้าก็ถือว่ามีคุณธรรมมากแล้วนะ ตอนที่ฉี่ใส่บ่อน้ำคราวนั้น ข้าตกใจจนขวัญกระเจิงจริงๆ ทำเอาผู้อาวุโสในตระกูลต้องเชิญคนมาเรียกวิญญาณ น่าอายยิ่งนัก พวกเขาตีฆ้องตีกลองตั้งแต่ตรอกหนีผิงไปถึงบ่อโซ่เหล็ก เรียกชื่อข้าเฉาซีหนึ่งครั้ง ข้าก็ต้องขานรับหนึ่งครั้ง เจ้าไม่รู้อะไร หลังจบเรื่องข้าถูกเพื่อนๆ ในโรงเรียนล้อตั้งหลายปี…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉาซีก็หัวเราะหึหึ เขารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วถอนหายใจพูด “เพื่อนพวกนั้น ตอนนี้กระดูกที่อยู่ใต้ดินคงเน่าสลายไปหมดแล้วกระมัง แต่ข้ากลับยังจำชื่อของคนเหล่านั้นได้”

จื้อกุยหัวเราะเสียงเย็น “ใครกันที่แอบเทเลือดหมาดำเกินครึ่งถังลงมาในบ่อโซ่เหล็กกลางดึกกลางดื่น?”

เฉาซีหัวเราะแห้งๆ “ก็ข้าได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าว่าเลือดหมาดำขับไล่ความชั่วร้ายได้นี่นา”

จื้อกุยเห็นหน้าเจ้าหมอนี่แล้วก็ให้หงุดหงิด ตอนเด็กเฉาซีนิสัยเป็นอย่างนี้ แก่แล้วก็ยิ่งหนักข้อเข้าไปใหญ่

เซี่ยสือนั่งฟังเงียบๆ มาโดยตลอด

จื้อกุยลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนถามว่า “พวกเจ้าใครกันแน่ที่เป็นเจินจวิน? ใครที่เป็นเซียนกระบี่?”

เฉาซียกถ้วยขาวขึ้น ชี้ไปยังเซี่ยสือที่นั่งตรงข้ามกับราชครูต้าหลี “เขาคือเจินจวินแห่งอุตรกุรุทวีป อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเทียนจวินของลัทธิเต๋าแล้ว ห้าขุนเขาใหญ่ของหลายราชสำนักล้วนมีสำนักสายของเขาอยู่ ในบรรดาสายลัทธิเต๋าทั่วทั้งอุตรกุรุทวีป สายของเขาถือว่าใหญ่เป็นพิเศษ เจินเหรินเจ้าประมุขหรือเจินจวินแห่งแคว้นจากสำนักนอกรีตสำนักอื่นล้วนไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าให้เจินจวินเซี่ยด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยสือคนบ้านเดียวกันกับพวกเราผู้นี้ พวกเขาทุกคนก็เป็นได้แค่หลาน ไม่มีข้อยกเว้น”

เซี่ยสือสีหน้าดำคล้ำ “หุบปาก”

เฉาซีเอ่ยขออภัย “ก็ได้ๆๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ใครใช้ให้เจ้าเป็นเทียนจวินลัทธิเต๋า ส่วนข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนป่าเถื่อนคนหนึ่ง ไปหาเรื่องเจ้าไม่ได้เล่า”

ในราชวงศ์ การรับตำแหน่งเจินจวิน (เป็นคำที่ใช้เรียกขานเทพเซียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เคารพของลัทธิเต๋า ฐานะของเจินจวินจะสูงส่งอย่างมาก) แห่งหนึ่งแคว้นของลัทธิเต๋า นอกจากจำเป็นต้องได้รับการเสนอชื่อจากกษัตริย์แล้ว ยิ่งต้องได้รับการยอมรับจากเจ้าลัทธิเต๋าที่ปกครองลัทธิของหนึ่งทวีปด้วย ยกตัวอย่างเช่นฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพของบุรพแจกันสมบัติทวีป ก็คือเจ้าลัทธิเต๋า หลังจากนั้นก็จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากเทียนจวิน (สำหรับลัทธิเต๋าคือคำเรียกขานเทพผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลงานด้านหนึ่ง ตำแหน่งไม่สูงมากนัก ยกตัวอย่างเช่นพญายมของศาสนาพุทธที่ลัทธิเต๋าก็จัดให้เป็นเทียนจวินเช่นกัน) จำนวนเกินครึ่งในหนึ่งทวีป สุดท้ายยังต้องได้หนังสือคำสั่งแต่งตั้งจากบางสำนักในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงจะได้รับตำแหน่งอย่างถูกต้องเหมาะสม

และเจ้าลัทธิเต๋าของอุตรกุรุทวีปก็คือเซี่ยสือ สำนักของเขาก็คือธูปประธานที่ตั้งอยู่ใจกลาง บวกกับที่อุตรกุรุทวีปคือสถานที่อันรุ่งโรจน์ของผู้ฝึกกระบี่ ควันธูปของลัทธิพุทธกดทับอยู่เหนือลัทธิเต๋าได้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่เทียนจวินสักคนก็ไม่มี ต่อให้มีอยู่ครึ่งคน คนคนนั้นก็คือตัวเซี่ยสือเอง

แน่นอนว่าแจกันสมบัติทวีปเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ในฐานะทวีปที่มีพื้นที่เล็กที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ ต่อให้พลังอำนาจของลัทธิเต๋าจะเหนือกว่าลัทธิพุทธ ทว่าเทียนจวินของแจกันสมบัติทวีปกลับมีแค่คนเดียว อีกทั้งยังเป็นเทียนจวินใหม่ที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตสิบสอง เขาก็คือฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยน ซึ่งไม่ต่างจากเซี่ยสือที่มีสิทธิ์ขาดในการเลือกว่าจะให้ใครขึ้นมาเป็นเจินจวิน

แต่หากเป็นทวีปใหญ่แห่งอื่น ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ต้องพูดให้มากความ ยกตัวอย่างเป็นทักษินาตยทวีปที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล เทียนจวินลัทธิเต๋าก็มีมากเท่านิ้วของสองมือแล้ว

“พูดให้เข้าใจง่ายๆ”

เซี่ยสือพูดเข้าประเด็น “เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตกชิ้นนั้น พวกเราสามารถไม่เอาความผิดในอดีต แต่ข้าต้องการขอคนสามคนจากต้าหลีพวกเจ้า”

ชุยฉานวางถ้วยเหล้าในมือลง พูดพร้อมยิ้มบางๆ “เดี๋ยวก่อน อะไรคือไม่เอาความผิดในอดีต? เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตก แม้ว่าผู้ตรวจการงานเตาเผาของต้าหลีเราจะเป็นฝ่ายทำผิดก่อน แต่ว่า อันดับแรก การทดสอบพรสวรรค์ของเฉินผิงอันในตอนนั้น ทำให้คนที่ซื้อเครื่องกระเบื้องมั่นใจแต่แรกแล้วว่าเฉินผิงอันไม่มีความพิเศษใดๆ ถือเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในระดับกลางค่อนไปทางล่าง เรื่องนี้แน่ใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย ข้อสอง เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกคนทุบแตก เรื่องไหนที่ต้าหลีของเราควรรับผิดชอบก็รับผิดชอบ เรื่องไหนควรชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว คนซื้อเครื่องปั้นก็พยักหน้ายอมรับแล้ว แถมยังรับค่าตอบแทนไปอย่างชื่นมื่น เซี่ยสือ คำว่าไม่เอาความผิดในอดีตของเจ้าไม่มีน้ำหนักมากพอหรอกนะ”

เซี่ยสือเอ่ยน้ำเสียงเฉยชา “คนซื้อเครื่องปั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะมาก่อกวนหรือสร้างความรำคาญ แต่กองกำลังเบื้องหลังคนซื้อเครื่องปั้นต่างหากที่มีคุณสมบัติจะทำตัวไร้เหตุผลกับต้าหลีพวกเจ้า”

ชุยฉานหัวเราะเสียงดัง พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล เขาหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จิบคำเล็กๆ แล้วจุ๊ปากพูด “บนโลกนี้มีเรื่องมากมายที่ไม่ได้ดังใจนี่นะ”

เฉาซีแยกเขี้ยว

สายตาของจื้อกุยเปล่งประกายวิบวับคล้ายได้ยินเรื่องที่ตัวเองรู้สึกสนใจ

ชุยฉานถาม “แล้วถ้าต้าหลีไม่ตอบรับล่ะ?”

คาดว่าเมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงต้าหลี เรื่องการหากระบี่บินมาชดเชยที่หอป๋ายอวี้จิงคงต้องประเมินการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน

แต่จู่ๆ เซี่ยสือกลับเอ่ยว่า “ขอแค่พวกเจ้ารับปากเรื่องนี้ ข้าก็จะพาคนไปยังภูเขาปี้สู่ที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษากวานหู ช่วยพวกเจ้าสยบขวัญสำนักศึกษารวมถึงกองกำลังทางทิศใต้ทั้งหมด วางใจได้ พวกเราจะไม่มีทางทำอย่างขอไปทีเด็ดขาด ก็เหมือนกับข้อที่ว่าหากพวกเจ้าไม่รับปาก เรื่องที่นักพรตอุตรกุรุทวีปของเราจะบุกลงใต้โจมตีพื้นที่ทางเหนือของต้าหลีพวกเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน แต่ถ้าต้าหลีของพวกเจ้ายอมรับปาก เราจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องขาดทุนแม้แต่น้อย นี่คือคำสัญญาจากสุดยอดนักพรตหลายท่านของอุตรกุรุทวีป ซึ่งรวมถึงตัวข้าเซี่ยสือด้วย”

เฉาซีตะลึงงัน

น่าสนใจแหะ

หากเซี่ยสือยินดีพาคนไปเฝ้าภูเขาปี้สู่จริงๆ โดยที่ไม่ได้แค่แสร้งขู่ให้กลัว ถ้าเช่นนั้นนี่จะเท่ากับว่าตัดขาดครึ่งชีวิตของต้าสุยทั้งที่พวกเขายังไม่ทันเปิดฉากรบกับต้าหลีเลยด้วยซ้ำ

หรืออาจถึงขั้นพูดได้ว่า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งแล้วที่แผ่นดินครึ่งหนึ่งของบุรพแจกันสมบัติทวีปจะตกสู่อุ้งมือของสกุลซ่งต้าหลี

ชุยฉานกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ที่แท้ก็เป็นการเดิมพันที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของข้าไปสักหน่อย ข้าคงต้องพูดคุยกับฝ่าบาทของเราก่อนถึงจะได้”

เซี่ยสือพยักหน้ารับ “ก็สมเหตุสมผลดี ข้ารอได้ อย่างมากสุดครึ่งเดือน ฮ่องเต้ต้าหลีของพวกเจ้าต้องให้คำตอบแก่ข้า”

ชุยฉานพลันชี้ไปที่จื้อกุย “บุญคุณช่วยชีวิตสองครั้งของนาง เจ้าเซี่ยสือจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ?”

เซี่ยสือหัวเราะเสียงดังกังวาน “แน่นอน หากพวกเจ้าไม่รับปากเรื่องนี้ ข้าเซี่ยสือจะไม่เข้าร่วมการก่อกวนต้าหลี แต่หากรับปากเรื่องนี้ ข้าก็จะรับคนที่เกิดในต้าหลีสองถึงสามคนเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ให้การอบรมปลูกฝังอย่างตั้งใจ ไม่ทำอะไรที่เลอะเลือนเด็ดขาด พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าอีกไม่นานข้าเซี่ยสือก็จะเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน ด้วยอายุของข้า เมื่อเทียบกับเทียนจวินลัทธิเต๋าทั้งหมดในเก้าทวีป ก็ยังถือว่าเป็นหนุ่มฉกรรจ์ หากจะให้พูดประโยคที่หลงตัวเองสักหน่อยก็คือ มหามรรคามารออยู่ตรงหน้าข้าอย่างแท้จริง อีกอย่างในกาลเวลานับพันปีที่ข้าเซี่ยสือเปิดสำนัก จะมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดแค่สามคนเท่านั้น!”

ชุยฉานชี้ไปที่จื้อกุย “นางถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น?”

เซี่ยสือส่ายหน้า “นางไม่นับ แต่ขอแค่นางยินดี นางก็จะได้เป็นลูกศิษย์ที่ไม่อยู่ในจำนวนสองสามคนนั้น”

ชุยฉานต้องใช้ความคิดจึงเงียบเสียงไป

จื้อกุยใจลอยเล็กน้อย

นางเริ่มร้อนใจ อยากจะกลับไปดูที่บ้านในตรอกหนีผิงสักครั้ง ต่อให้ลูกเจี๊ยบขนฟูฝูงนั้นจะหิวตายไปแล้ว แต่นางก็ต้องได้เห็นศพพวกมันถึงจะตัดใจได้

หากพวกมันยังมีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นเมื่อได้เห็นครั้งนี้ก็จะต้องบีบพวกมันให้ตายคามือนาง ในฐานะสัตว์ตัวน้อยที่นางเป็นผู้เลี้ยงดู จะปล่อยให้ไปตายอยู่ในปากแมวป่า ในปากหมาเร่ร่อน มันสมควรแล้วหรือไร?

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!