ทว่าเฉินผิงอันเองก็อธิบายไม่ถูกว่าไม่เหมือนกันอย่างไร เพียงแค่สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์อย่างไร้คำบรรยายเท่านั้น
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็เขียนแต่ละประโยคที่ตัวเองคิดว่าเป็นบทกลอน คำสอนของอริยะปราชญ์ แก่นแท้ในตำราลัทธิเต๋าและความรู้ของร้อยสำนักที่ ‘งดงาม’
หากเป็นตำแหน่งสูง หลี่ซีเซิ่งจะเขย่งปลายเท้าขึ้นเขียน หากเป็นตำแหน่งต่ำจะก้มตัวลง เดี๋ยวๆ ก็ขยับเท้า เดี๋ยวๆ ก็เป่าลมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ปลายพู่กัน ขณะที่กำลังเขียนอย่างเพลิดเพลินก็ถึงกับบอกให้ชุยชื่อเด็กรับใช้ลงจากเรือนไปหยิบเก้าอี้ไม้ไผ่มา แล้วตัวเองก็ยืนบนเก้าอี้ไม้ไผ่ ตวัดพู่กันเขียนอย่างฮึกเหิม หรือไม่ก็นั่งลงบนพื้นเขียนอย่างสง่างามเปี่ยมไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง
เขาเขียนประโยคที่กล่าวว่าไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง เพราะกลัวว่าจะรบกวนเทพเทวดาบนสวรรค์ เขาเขียนประโยคที่บอกว่าคิดจะทำลายรังโจรนั้นง่าย แต่คิดจะทำร้ายด้านมืดในจิตใจคนนั้นยาก
เขียนประโยคที่บอกว่ามนุษย์คือพระพุทธรูปที่ยังไม่ตื่น พระพุทธรูปคือมนุษย์ที่ตื่นแล้ว เขาเขียนประโยคบรรยายเสียงแจวเรือที่ดังมาจากน้ำสีเขียวมรกต และยังเขียนประโยคที่ว่าวิถีของอาจารย์ก็คือความซื่อสัตย์
เมื่อเฉินผิงอันยังไม่พูดว่า ‘ข้าเข้าใจแล้ว’ หลี่ซีเซิ่งก็เขียนไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ทุกตัวอักษรล้วนเขียนเสร็จอย่างว่องไว เขียนเสร็จแล้วจะมีแสงสีทองเปล่งวาบบนผนังไม้ไผ่หนึ่งทีแล้วสลายหายไป แต่ความหมายของมันคงอยู่ยาวนาน สืบสานไม่ขาดสาย
เด็กชายชุดเขียวกระโดดลงมาจากราวระเบียงแล้ว เขาเดินมากระซิบถามเบาๆ ข้างหูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู “เขาเขียนอะไร?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกดเสียงเบาตอบกลับ “ข้ารู้ตัวอักษร แต่ไม่เข้าใจความหมาย มัน…ยิ่งใหญ่เกินไป”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ “ก็เจ้าโง่นี่นา”
ชุยชื่อหันมาถลึงตาใส่ ทั้งยังพูดสั่งสอน “ห้ามรบกวนตอนอาจารย์เขียนตัวอักษร!”
เด็กชายชุดเขียวเบ้ปาก “ที่นี่คือบ้านของข้า หากเจ้ายังพูดมากอีก ระวังข้าจะทำให้เจ้าต้องหอบเสื่อไสหัวกลับบ้าน”
ชุยชื่อกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้ามีตาแต่ไม่มีแวว ถึงได้มองไม่เห็นความลำบากของอาจารย์ข้า”
เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนกอดอก เอนหลังพิงราวระเบียง เอ่ยเย้ยหยัน “แล้วเจ้ายุ่งอะไรกับข้าด้วย? นายท่านข้าต่างหากที่ถึงจะมีสิทธิ์มาสั่งสอนข้าเรื่องพวกนี้”
หลี่ซีเซิ่งเขียน เฉินผิงอันอ่าน ทั้งสองต่างก็ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงทะเลาะเบาๆ ที่ดังขึ้นด้านหลัง
ฟ้ามืดแล้ว หลี่ซีเซิ่งมายืนอยู่สุดปลายทางของระเบียงอีกด้านแล้ว เวลานี้เขาถึงหยุดมือ ถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเจื่อน
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร พวกเราลงไปข้างล่างกัน”
ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงพากันลงมาที่ชั้นล่างของหอไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกับเด็กหนุ่มชุยชื่อช่วยถือเทียนไขส่องสว่างให้กับตัวอักษร
แม้ว่าปากของเด็กชายชุดเขียวจะบ่นพึมพำไม่หยุด แต่กลับมองตาไม่กะพริบอย่างตั้งใจ
ขงจื๊อทอดถอนใจอยู่ข้างลำน้ำ “เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่าน ทั้งวันและคืนไม่มีเคยหยุดพัก”
วันเวลาของวันนี้ก็คือเช่นนี้เอง
ชุยชื่อพลันสะบัดมือที่ถือเทียน ที่แท้เทียนไขก็เผาไหม้หมดแล้วจึงลามมาถึงนิ้วมือของเขา
เด็กหนุ่มหน้าตางามประณีตเปลี่ยนเทียนเล่มใหม่อย่างเงียบเชียบ
เมื่อหลี่ซีเซิ่งเขียนถึงสี่คำว่า ‘เผาจดหมายทำลายตราประทับ’ เฉินผิงอันก็หลุดปากพูดว่า “ไม่ถูก”
หลี่ซีเซิ่งหยุดเขียน หันมามองเฉินผิงอันแล้วหัวเราะฮ่าๆ “นี่สิถึงจะถูก!”
ใบหน้าของบัณฑิตสวมชุดขงจื๊อซีดขาวเล็กน้อย ความอ่อนล้าฉายชัดอยู่ทั่วไปหน้า แต่สายตาของเขากลับเป็นประกายวาววับ
หลี่ซีเซิ่งสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ ยื่นพู่กันที่อยู่ในมือส่งให้กับเด็กหนุ่ม “เฉินผิงอัน เหล็กหมาดลมหิมะด้ามนี้ ข้ามอบให้เจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ดูถูกมัน”
เวลานี้เฉินผิงอันถึงนึกถึงปมปัญหาขึ้นมาได้ “ข้าไม่อาจฝึกตน เป็นผู้ฝึกลมปราณไม่ได้ การเขียนยันต์จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณช่วยเสริม แล้วข้าจะเขียนยันต์วิเศษสักแผ่นหนึ่งได้อย่างไร?”
หลี่ซีเซิ่งเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการอธิบายช้าๆ พร้อมรอยยิ้ม “ภาพยันต์ที่ข้าจะมอบให้เจ้าหลังจากนี้มียันต์วิเศษหลากหลายชนิดก็จริง แต่ระดับกลับไม่สูงมากนัก ดังนั้นยันต์หลายแบบจึงมีข้อเรียกร้องต่อปราณวิญญาณไม่สูงมาก แต่ก็มีข้อเรียกร้องต่อช่องโพรงลมปราณที่เกี่ยวข้องในระดับหนึ่งแน่นอน การวาดยันต์ของเจ้าก็เหมือนกับการฝึกวรยุทธ์ที่แค่ใช้วิธีการแตกต่างไปจากเดิม ผู้ฝึกยุทธ์เองก็มีลมปราณที่แท้จริง แล้วก็เพราะว่ามันตรงข้ามกับต้นทุนโชคชะตาของผู้ฝึกลมปราณอย่างสิ้นเชิง ยันต์ทุกแผ่นที่เขียนจึงกลายมาเป็นการทดสอบสั้นๆ ครั้งหนึ่ง คือการปะทะกำลังทหารบนสมรภูมิรบในช่วงสั้นๆ เมื่อเจอกันบนเส้นทางคับแคบ ผู้กล้าจึงเป็นฝ่ายชนะ เจ้าจำเป็นต้องรวบรวมลมปราณเฮือกหนึ่งเขียนยันต์หนึ่งแผ่นด้วยความเร็วที่มากที่สุดและมั่นคงที่สุด หาไม่แล้วต่อให้พลาดไปแค่จุดเล็กๆ ก็ยังไม่สามารถเขียนยันต์ได้สำเร็จอยู่ดี ขอแค่เจ้ายืนหยัดตั้งมั่น นานวันเข้า น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน การวาดยันต์ก็จะไม่ใช่แค่การวาดยันต์อีกต่อไป แต่จะช่วยเจ้าหล่อหลอมเรือนกาย ฝึกปรือจิตวิญญาณโดยที่เจ้ามองไม่เห็น”
เฉินผิงอันรับพู่กันมาพลางผงกศีรษะรับ “เข้าใจแล้ว!”
ม่านราตรีมืดดำ
หลี่ซีเซิ่งหันหน้าออกไปมองข้างนอก “จากลากันครั้งนี้…”
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้พูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาจนหมด เพียงขับไล่ความกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั่นออกไปแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เดิมทีข้าก็อยากออกไปดูโลกภายนอกอยู่แล้ว ก็แค่ไปเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
หลังจากนั้นหลี่ซีเซิ่งก็ไม่ได้เลือกค้างคืนที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่พาเด็กหนุ่มชุยชื่อเดินลงเขาไปตอนกลางคืนนั้นเลย
บัณฑิตหนุ่มถึงขั้นไม่ยอมให้เฉินผิงอันไปส่งที่ตีนเขาด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันยืนอยู่นอกเรือนไม่ไผ่ รู้สึกเศร้าใจกับการจากลา
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะคิกคัก “นายท่าน เจ้าหมอนี่ไม่เลวเลยจริงๆ มรรคาถาสูงส่ง มีคุณธรรม มีน้ำใจ ข้าชอบ! เขามีคุณสมบัติจะกลายมาเป็นสหายของข้า”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายินดี แล้วเขาล่ะยินดีไหม?”
เด็กชายชุดเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ “ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่ไม่เต็มใจเป็นสหายของข้าอีก? เขาโง่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เขาโง่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าโง่หรือไม่”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะเสียงดังอย่างลำพองใจ “นายท่าน แน่นอนว่าข้าต้องฉลาดล้ำเลิศ”
สายตาที่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันไปมองเพื่อนร่วมเดินทางทอประกายเวทนา ก่อนหน้านี้แค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีพฤติกรรมดุร้าย นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิด แต่ตอนนี้จู่ๆ กลับรู้สึกว่าแท้จริงแล้วเขาโง่อย่างมาก
เด็กชายชุดเขียวสัมผัสได้ถึงสายตาของนางอย่างเฉียบไวจึงเอ็ดตะโรขึ้นมา “นังเด็กโง่ เจ้าไม่เห็นด้วยรึ? พวกเรามาสู้กันตัวต่อตัวเลย!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไปหลบอยู่ข้างหลังเฉินผิงอัน
นางไม่ได้โง่สักหน่อย
……
แสงจันทร์ขมุกขมัว หลี่ซีเซิ่งพาเด็กหนุ่มเดินลงจากภูเขาไปช้าๆ หลังเดินออกจากขอบเขตของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็แวะวักน้ำล้างหน้าตรงริมลำธารแห่งหนึ่งเพื่อช่วยปลุกสติให้แจ่มชัด เพราะอย่างไรซะทุกครั้งที่ตวัดพู่กันก็ล้วนต้องรวบรวมสมาธิในการเขียน ซึ่งเผาผลาญแรงกายแรงใจไปมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!