กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 196

สรุปบท บทที่ 196.2: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

บทที่ 196.2 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 196.2 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 196.2 ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันเดินอยู่บนถนนเส้นเล็ก พูดพึมพำกับตัวเอง “สืออู่ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เจ้าขายหน้า วันหน้าข้าจะต้องตั้งใจฝึกฝนคาถาควบคุมกระบี่ เจ้าจะได้ไม่ต้องอับอายใครอย่างวันนี้อีก”

เฉินผิงอันรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง

ในขณะที่คนอื่นมอบความหวังดีให้กับตน หากเขาไม่อาจทำอะไรได้เลยสักอย่าง มโนธรรมในใจของเฉินผิงอันก็ยากที่จะสงบ

กระบี่บินสีเขียวมรกตที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณดีดเด้งเบาๆ ราวกับว่าอารมณ์ดีในชั่วพริบตา ให้อภัยกับความงุ่มง่ามในการควบคุมกระบี่ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้อย่างใจกว้าง

เฉินผิงอันยิ้มอย่างอดไม่ได้ ในใจนึกเปรียบเทียบกับชูอีที่มีนิสัยก้าวร้าว เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกัน แต่สืออู่อ่อนโยนกว่ามากนัก

ผลกลับกลายเป็นว่าความคิดนี้ของเฉินผิงอันเพิ่งจะผุดขึ้น ตัวอ่อนกระบี่ชูอีก็ออกมาจากรังนอน ก่อคลื่นพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำเอาเฉินผิงอันเจ็บปวดจนต้องงอตัวยืนอยู่ที่เดิม ก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว

สืออู่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงบินสวบออกมาจากช่องโพรงลมปราณ ว่ายทะยานผ่านด่านสำคัญหลายด่านไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมาหยุดลอยกลางอากาศอยู่ ‘หน้าประตูบ้าน’ ของชูอี ก่อนจะหมุนตัวเบาๆ คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีหรือไม่

เฉินผิงอันเดินได้อย่างปกติไม่ไหวจริงๆ จึงได้แต่ขยับเท้าอย่างยากลำบากไปนั่งลงบนขั้นบันไดตรงทางแยกของตรอก

คงจะเป็นเพราะถูกดึงดูดความสนใจจากกระบี่บินสืออู่ ตัวอ่อนกระบี่ชูอีจึงยอมปล่อยเฉินผิงอันไป

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มเป็นดั่งหญิงสาวสองคนซึ่ง ‘แต่งงานให้กับชายไม่ดี’ ต่างฝ่ายต่างหยุดลอยอยู่ในและนอกประตูช่องโพรงลมปราณ ทั้งเหมือนคุมเชิงกันอย่างดุดัน แล้วก็เหมือนกำลังสองจิตสองใจว่าควรจะพบหน้ากันดีหรือไม่

เฉินผิงอันฉวยโอกาสช่องว่างนี้รีบหอบหายใจคำใหญ่ พักผ่อนเล็กน้อยแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปที่ตรอกฉีหลง เรียกเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูให้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน

ชูอีไม่ยอมพบสืออู่

ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ระหว่างที่ขยับเข้าไปใกล้ภูเขาเจินจู ชูอีก็ออกฤทธิ์เล่นงานเฉินผิงอันอีกครั้ง ทำเอาเฉินผิงอันเกือบจะลงไปนอนกลิ้งบนพื้น ได้แต่กัดฟันแน่นนั่งยองลง เหงื่อไหลออกมาตามไขสันหลัง แทบจะตาพร่าหมดสติไป เฉินผิงอันได้แต่พยายามโคจรวิธีหายใจสิบแปดหยุด เนื่องด้วยตอนนี้ทลายคอขวดใหญ่ที่ขวางระหว่างหกและเจ็ดไปได้แล้ว ขณะที่เฉินผิงอันกำลังชักคะเย่ออยู่กับตัวอ่อนกระบี่จึงพอจะรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้บ้าง แต่ค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่ายไปก็คือต้องสัมผัสกับความเจ็บปวดมหาศาลที่มาจากการสั่นสะเทือนทั่วทุกเสี้ยวของจิตวิญญาณอย่างชัดเจน ความทรมานเช่นนี้ไม่เป็นรองความเจ็บปวดจากการถูกถลกหนัง หรือถูกแยกร่างออกเป็นชิ้นๆ เลย

สืออู่อยากจะลงมือเต็มแก่ แต่ก็ยังไม่ยอมออกมาจากที่พักพิงของตัวเอง ราวกับว่าหากยังตัดสินใจไม่ได้ก็จะเลือกที่จะดูไฟชายฝั่งก่อนชั่วคราว

รอจนชูอีกลับคืนสู่ความสงบด้วยความพึงพอใจ ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็เหมือนเพิ่งถูกงมขึ้นมาจากในน้ำ เดินกะโผลกกะเผลกไปด้านหน้าอีกครั้ง ท่าเดินนิ่งของเขาเดินอย่างโซซัดโซเซ ตัวโยกเอียงไปมา ทว่าแม้แต่ตัวเฉินผิงอันเองก็ยังตระหนักไม่ได้ว่า ปณิธานแห่งหมัดที่มองไม่เห็นซึ่งไหลรินไปทั่วกายเขาเปลี่ยนมาเป็นเข้มข้นหนักแน่นมากกว่าเดิมแล้ว

กลางภูเขาลูกใหญ่มีผู้เฒ่าเปลือยเท้าสวมอาภรณ์ขาดวิ่น เส้นสายตาขุ่นมัวมองเห็นได้ไม่ชัดกำลังเดินโซเซเหมือนแมลงวันไร้หัวที่พุ่งชนไปทั่ว ปากก็พร่ำซ้ำคำเดิมๆ “อาจารย์ของฉานฉานล่ะ อาจารย์ของฉานฉานข้าล่ะ…”

ทันใดนั้นดวงตาของผู้เฒ่าวิปลาสก็พลันสว่างไสวขึ้นมาหลายส่วน หลังจากกวาดตามองไปรอบด้าน เขาก็ไม่ได้ทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ยิ่งไม่ได้บังคับลมโผบิน แต่สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลับตาลงสำรวจทิศทางการเดินบนภูเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แล้วก็มาโผล่ตรงหน้าคนทั้งสามโดยตรง ผู้เฒ่ามองไปยังเด็กหนุ่มที่ฝึกเดินนิ่งจนเหงื่อท่วมตัว ถามว่า “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันเกร็งร่าง พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่ามาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

เด็กชายชุดเขียวสีหน้าทึ่มทื่อ หมดอาลัยตายอยากอย่างสิ้นเชิง

อะไรกัน เดิมทีออกมาจากเมืองเล็กนึกว่าจะได้เป็นดั่งสกุณาที่โบยบินบนท้องนภากว้างไกล แต่นี่แค่เดินอยู่บนทางเล็กที่รกร้างในภูเขาก็เริ่มมีเทพเซียนตัวประหลาดที่สามารถต่อยตนให้ตายด้วยหมัดเดียวปรากฏตัวอีกแล้วหรือ?

ผู้เฒ่ารีบถามด้วยสีหน้าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด “ชุยฉานฉานของข้า…ข้าคือปู่ของชุยฉาน ตอนนี้เจ้าคืออาจารย์ของเขารึ?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม “ถือว่าใช่”

ผู้เฒ่าพูดรัวเร็ว “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ถูกคนรังแกหรือไม่?”

เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่ายากที่จะตอบคำถามข้อนี้ เพราะครั้งนั้นที่เดินทางไกล เด็กหนุ่มราชครูชุยฉาน หรือควรจะเรียกว่าชุยตงซานที่ไปอยู่สำนักศึกษาซานหยาไม่ได้มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่นัก เฉินผิงอันไม่อยากโกหกผู้เฒ่าน่าเวทนาที่เรียกตัวเองว่าเป็นปู่ของชุยฉานผู้นี้ แต่ก็ไม่กล้าพูดความจริงอีก และจิตใต้สำนึกของเฉินผิงอันก็ทำให้เขารู้สึกว่าพลังอำนาจของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คล้ายคลึงกับวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงอย่างมาก จุดที่ไม่เหมือนมีแค่ตบะของคนทั้งสองสูงต่ำไม่เท่ากัน ส่วนข้อที่ว่าวานรย้ายภูเขาตนนั้นจะมีตบะสูงกว่า หรือผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ที่มีตบะสูงกว่ากันแน่ เนื่องด้วยตบะของเฉินผิงอันยังต่ำเกินไปจึงมองตื้นลึกหนาบางอะไรไม่ออก

แค่ผู้เฒ่าขมวดคิ้วก็ทำให้เฉินผิงอันและเด็กน้อยทั้งสองรู้สึกกดดันหายใจไม่ออกกันแล้ว ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “แม้ว่าเจ้าจะเป็นอาจาร์ของหลานชายข้า ข้าควรจะให้ความเคารพเจ้า แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ถึงขอบเขตสามจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้หลานชายข้าได้อย่างไร?! วันหน้าเมื่อหลานข้าเจอปัญหา เจ้าที่เป็นอาจารย์ก็จะทำเพียงชมละครอยู่ไกลๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านั้นน่ะหรือ?! ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาดเลย!”

สายตาของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคมปลาบราวใบมีด เขาจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “พาข้าไปยังสถานที่ที่เจ้าคิดว่าปลอดภัย ข้าจะช่วยเจ้าสักครั้ง”

ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ผู้เฒ่าก็ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นิ้วทั้งห้าที่เป็นราวกับตะขอคว้าไหล่ของเขาเอาไว้ “รีบบอกมา! เวลาไม่คอยข้า ข้ามีสติแจ่มชัดมากที่สุดแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลา!”

ผู้เฒ่าถอยหลังไปหลายก้าว “เฉินผิงอัน เจ้าทนรับความลำบากได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันที่ประหลาดใจมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว “ทนได้”

ผู้เฒ่าถามอีก “รับความลำบากที่ยิ่งใหญ่ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่กล้าตอบคำถามข้อนี้

ผู้เฒ่าไม่พอใจเล็กน้อย เขาผรุสวาทเสียงดัง “ทำตัวอย่างกะพวกผู้หญิง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว! ไม่คล่องแคล่วเอาเสียเลย หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าผู้อาวุโสไม่เต็มใจปรนนิบัติรับใช้หรอก!”

เฉินผิงอันบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าสมองของผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ไม่ใคร่จะดีนัก ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เขาอยากพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป

ผู้เฒ่าเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตั้งท่าหมัดที่โบราณเรียบง่ายโดยมือหนึ่งกำหมัดค้างอยู่กลางอากาศ อีกมือหนึ่งกำหมัดแนบติดหน้าอก เรียบๆ ง่ายๆ แต่วินาทีนั้นพลังอำนาจของเขากลับน่าตะลึงอย่างยิ่ง

ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงหนัก “รับความลำบากในความลำบากได้ก็คือคนเหนือคน ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราต้องคิดหวังว่าจะเดินสู่เบื้องบน หากยังไม่ไปถึงยอดเขาก็ต้องทำตัวดั่งหมาเร่ร่อนที่ขุดหาอาหารข้างทางเพื่อให้มีชีวิตรอด! ต้องบอกกับตัวเองว่า ข้าต้องมีชีวิตอยู่อย่างสะใจ ต้องช่วงชิงมหามรรคากับฟ้าดิน! ช่วงชิงกับพวกเทพเซียนเฮงซวย! ช่วงชิงกับผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเดียวกัน! สุดท้ายยังต้องแข่งขันกับตัวเอง! ช่วงชิงลมหายใจเฮือกนั้นมาให้จงได้!”

“ยามที่พ่นลมหายใจเฮือกนี้ออกมา ต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี! ต้องทำให้เทพเซียนคุกเข่าโขกหัวให้ ต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกรู้สึกว่าเจ้าก็คือท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!”

นาทีนั้นผู้เฒ่าที่สภาพทุเรศยิ่งกว่าขอทานกลับมีพลังอำนาจแกร่งกล้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอย่างหาสิ่งใดมาเทียบเทียมมิได้!

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังบอกหลักการข้อหนึ่งให้กับเด็กหนุ่มอย่างตรงไปตรงมา

คนตรงหน้าผู้นี้ ไร้ผู้ใดจะทัดเทียม!

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!