กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 197

สรุปบท บทที่ 197.1: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

สรุปเนื้อหา บทที่ 197.1 – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บท บทที่ 197.1 ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 197.1 เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้ว
โดย
ProjectZyphon
ลมหายใจของเฉินผิงอันพลันหยุดชะงัก เหมือนกับตอนที่เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเจอกับจื้อกุย นี่ไม่เกี่ยวกับว่าขอบเขตสูงหรือต่ำ แต่ล้วนเป็นเพราะความกดดันอันหนักอึ้งที่มาจากพลังอำนาจของอีกฝ่ายอย่างเดียวเท่านั้น

คาดว่าแก่นแท้ของสองคำว่าเต็มตัวของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวนั้น ก็น่าจะอยู่ที่พลังซึ่งบริสุทธิ์เต็มที่ของพวกเขานั่นเอง

ซ่งจ่างจิ้งที่เคยอยู่ในที่ว่าการของเมืองเล็กแค่อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร ก็สามารถทำให้หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่ธรรมดารู้สึกเหมือนทุกกล้ามเนื้อกำลังถูกเข็มทิ่มแทงได้เช่นเดียวกัน

เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว

เฉินผิงอันเตรียมจะขยับตัว แต่คาดไม่ถึงว่าร่างทั้งร่างของเขาจะกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับผนังของเรือนไม้ไผ่อย่างแรง จากนั้นก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ดิ้นรนอยู่สองทีก็ได้แต่นั่งพิงผนัง ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น มุมปากมีเลือดซึมออกมา

ผู้เฒ่าที่ถีบเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันยกสองมือกอดอก หลุบตาลงมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่มีสภาพอเนจอนาถแล้วแค่นเสียงหัวเราะหยัน “คุมเชิงอยู่กับคนอื่นยังกล้าวอกแวก! รนหาที่ตายจริงๆ!”

เฉินผิงอันใช้มือเช็ดมุมปาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ยืนอยู่ตรงกำแพงเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ “คนบนโลกกล่าวแค่ว่าวิถีวรยุทธ์มีเก้าขอบเขต ไม่เคยรู้ว่าเหนือขอบเขตเก้าขึ้นไปยังมีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงธรณีของขอบเขตสาม และในความเป็นจริงแล้วรากฐานของขอบเขตสองเจ้าก็ถูกปูไว้ได้ธรรมดาอย่างยิ่ง หากข้าผู้อาวุโสไม่เผยกาย เจ้าที่แสวงหาการฝ่าทะลุขอบเขตที่รวดเร็ว เมื่อใดที่เลื่อนสู่ขอบเขตสาม เกรงว่าคงทำลายรากฐานความสำเร็จในขอบเขตเก้า เส้นทางของการฝึกยุทธ์ไม่มีที่ว่างสำหรับลูกเล่นจอมปลอมอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เจ้าทำลงไปก่อนหน้านี้นับว่าไม่เลว แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าเพียงพอ! เพราะการแผ่ปราณในขอบเขตหนึ่งของเจ้าทำได้แย่ไปหน่อย!”

ลมหายใจของเฉินผิงอันเริ่มราบรื่นมากขึ้น จะอย่างไรแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เคยย่อท้อต่อการขัดเกลาร่างกาย รากฐานจึงถูกปูมาดี ต้องรู้ว่าคำว่า ‘ธรรมดา’ และคำว่า ‘ไม่เลว’ จากปากของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคำวิจารณ์ที่สูงมากแล้ว หากพวกผู้ฝึกยุทธ์ในโลกได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลเต็มหน้า

เฉินผิงอันยังไม่รู้เรื่องวงในที่ซับซ้อนเหล่านี้ จึงได้แต่พูดเสียงสั่น “น้อมรับการสั่งสอนแล้ว”

ผู้เฒ่าก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ตลอดทั้งเรือนไม้ไผ่ก็สั่นตามไปด้วยเบาๆ ตัวอักษรมองไม่เห็นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนไว้บนไม้ไผ่สีเขียวปรากฏให้เห็นเลือนๆ พร้อมประกายแสงบริสุทธิ์ที่ยากจะสังเกตเห็นไหลเวียนวน ประหนึ่งภาพที่ขวดแสงจันทร์ถูกเทลงบนธารน้ำในคืนนั้น สวยงามน่าประทับใจ

ความคิดของผู้เฒ่ากระตุก แต่ไม่ได้สนใจวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาจ้องเขม็งไปที่เฉินผิงอัน แล้วเปิดเผยความลับสวรรค์โดยตรง “ขอบเขตตัวอ่อนโคลนอยู่ที่ต้องตามหาลมปราณที่มีมาตั้งแต่เกิดเฮือกนั้นให้เจอ ก่อสร้างเค้าโครงกระท่อมแห่งวิถีวรยุทธ์ ลมปราณคือเสาคาน ลมปราณคือผนังสูง! แต่ก่อนที่จะทำให้สำเร็จในรวดเดียว จำเป็นต้องสลายลมปราณให้หมดสิ้นเสียก่อน กำจัดลมปราณสกปรกทั้งหมดที่สะสมมาหลังจากถือกำเนิด หรือแม้แต่ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็ต้องถูกชำระล้างไปด้วย! ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อะไรคือเต็มตัว เต็มตัวคือใช้ความแท้และบริสุทธิ์ที่มีมางัดข้อกับฟ้าดินโดยตรง! อย่าไปเลียนแบบพวกผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงเวลาก็ได้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ!”

เฉินผิงอันฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกอย่างลึกๆ ในใจก็ยังไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เฒ่าไปเสียหมด

มุมปากของผู้เฒ่ายกตวัดขึ้น ก่อนจะแค่นเสียงหยัน “ขอบเขตที่สองเรียกว่าขอบเขตครรภ์ไม้ ข้ากลับรู้สึกว่าเรียกขอบเขตเปิดภูเขาจะดียิ่งกว่า เทพเซียนบนภูเขา เทพเซียนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธ์ต้องใช้หนึ่งหมัดผ่าทลายภูเขาที่ว่านี้! ขอบเขตนี้ต้องฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก หากวางรากฐานไว้ดี ความสำเร็จในอนาคตก็จะไม่แพ้ร่างวัชระมิพ่ายของลัทธิพุทธ หรือร่างแก้วผ่องแพ้วของลัทธิเต๋าเลย เพราะผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดได้เหมือนกัน ส่วนสำนักการทหาร เฮอๆ หัวมงกุฎท้ายมังกร วิธีที่ใช้ทั้งเหมือนโจรร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นทางลัด น่าขันอย่างถึงที่สุด!”

สำนักการทหารมีเส้นทางลัดที่เชื่อมโยงไปยังสวรรค์อยู่เส้นหนึ่งจริง นอกจากจะสามารถเชิญให้เทพลงมาจากภูเขา เชิญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสิงร่าง ยังสามารถเลี้ยงวิญญาณวีรบุรุษแห่งสนามรบไว้ในช่องโพรงลมปราณตัวเองได้ วิญญาณวีรบุรุษคือวิญญาณที่เกิดมาก็แข็งแกร่ง ตายไปแล้ววิญญาณยังไม่แหลกสลาย หากนักพรตผสานรวมจิตวิญญาณตัวเองเข้ากับมันได้สำเร็จ เรือนกายของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนเตาหลอมยาของลัทธิเต๋าที่น้ำกับไฟผสมผสาน กลายเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง เป็นวิธีการที่จะทำให้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อออกมาจากปากของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนี้ วิถีทางของสำนักการทหารกลับกลายเป็นว่าไม่มีค่าให้พูดถึง คำพูดของเขาช่างใหญ่โตจนน่าตกใจ

ผู้เฒ่ากระดิกนิ้วเรียกเฉินผิงอัน “มาๆๆ ข้าผู้อาวุโสจะกดขอบเขตให้อยู่ที่ขอบเขตสาม เจ้าออกแรงให้เต็มที่ สู้ให้สุดชีวิต หากทำให้ข้าผู้อาวุโสขยับได้ครึ่งก้าวก็จะถือว่าเจ้าชนะ!”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย

เขายังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ไม่ได้ นับตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าปรากฏตัวอย่างกะทันหัน บอกว่าตัวเองคือปู่ของชุยฉาน มาจนถึงตอนนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดฉากท้าตีท้าต่อย ทำเอาเฉินผิงอันมึนงงไปหมด ด้วยสถานะและตัวตนของชุยฉานในทุกวันนี้ จำเป็นต้องให้อาจารย์ที่ไร้ฝีมือไม่สมกับตำแหน่งอย่างเขาคุ้มครองด้วยหรือ? อีกอย่างผู้เฒ่าเองก็พูดแล้วว่า วิถีแห่งการฝึกยุทธ์ไม่มีทางลัดให้เดิน พรสวรรค์ของตนก็ย่ำแย่ขนาดนี้ ชีวิตนี้จะสามารถเดินไปสูงถึงครึ่งหนึ่งของชุยฉานหรือไม่ เฉินผิงอันยังไม่กล้าวาดหวัง ถ้าอย่างนั้นคำพูดของผู้เฒ่าก็ไม่เท่ากับว่าขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นิสัยอย่างเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ จะตีกันก็ตีสักที ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสคุกเข่าขอร้องให้เจ้าออกหมัดด้วย?”

ในที่สุดนิสัยด้านความดื้อรั้นดันทุรังของเฉินผิงอันก็เผยออกมาให้เห็น เขายังคงอยู่ในท่าป้องกัน ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

จุดลึกในดวงตาของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างมองดูไม่ชัด “ข้าผู้อาวุโสถามเจ้าแค่คำเดียว ยังอยากจะเลื่อนสู่ขอบเขตสาม อีกทั้งยังเป็นขอบเขตสามหนึ่งเดียวในใต้หล้าอีกด้วยหรือไม่?!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก!”

ผู้เฒ่าเบี่ยงศีรษะมาเล็กน้อย ยื่นนิ้วมือชี้ไปที่สมองของตัวเอง สีหน้าโอหังอย่างถึงที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อยมาตรงนี้! นิสัยเจ้าไม่ถูกใจข้าผู้อาวุโสเอาซะเลย แต่เห็นแก่ฉานฉาน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง หากออกหมัดได้อย่างมีพลังอำนาจ ข้าก็จะช่วยเจ้า ให้เจ้าได้ไปสัมผัสกับขอบเขตสามที่แท้จริงกับตัวเองสักครั้ง”

เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะต่อยท่านจริงๆ แล้วนะ? เวลาใดที่ข้าออกหมัดไม่เคยออมมือ!”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “พูดพล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย นังหนูน้อย! บ้านเจ้ามีผีขี้ขลาดอย่างเจ้าได้ยังไงกันนะ? ในกางเกงมีไอ้จ้อนอยู่หรือเปล่า? พ่อแม่เจ้าก็ต้องเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวเหมือนกันสินะ?”

โทสะเดือดดาลบังเกิดขึ้นเต็มอกของเฉินผิงอัน

คนที่มองดูเหมือนจะใจอ่อนมีเมตตา ในพื้นที่หัวใจย่อมต้องมีจุดที่แข็งแกร่งปานเหล็กอยู่แห่งหนึ่ง ถึงทำให้เขาสามารถประคับประคองความดีงามที่มองดูเหมือนโง่เขลาท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตไว้ได้

เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็เป็นเช่นนี้

การเดินทางไกลตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ เขาฝึกวิชาหมัดทุกคืนวันไม่มีหยุดพัก

เฉินผิงอันก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็พลันระเบิดความเร็วที่น่าตะลึงออกมาในเสี้ยววินาที มาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่า ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่าย

มองเหมือนว่าแค่หมัดเดียว แต่กลับเกิดเสียงปังๆ สองครั้งติด

นัยน์ตาของผู้เฒ่ามีประกายแห่งความชื่นชมพุ่งผ่านไป จากนั้นเขาก็เดินหน้าไปช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ปากกล่าวว่า “มอบหนึ่งเท้าให้เจ้าเป็นรางวัล!”

เท้านี้พุ่งออกมาราวสายฟ้าแลบ แรงเหวี่ยงน้อยมาก แต่เตะเข้าที่จุดไท่หยางฝั่งหนึ่งของเฉินผิงอันที่นอนอยู่บนพื้นพอดี

เฉินผิงอันพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาสกัดกั้นเท้าที่พุ่งเข้ามาอย่างดุร้าย

สุดท้ายเขาต้องเอาแขนแนบกับหน้าผาก ร่างทั้งร่างถูกเท้านั้นถีบให้ไปกระแทกกับมุมผนัง ได้แต่นอนขดตัวอยู่ตรงนั้น ไม่มีจุดใดในร่างที่ไม่เจ็บปวด

ผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม เหยียดตามองเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารจากมุมสูง “ข้าเข้าใจรากฐานวิถีวรยุทธ์ของเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อครู่นี้เป็นแค่อาหารจานเล็กเรียกน้ำย่อยเท่านั้น จากนี้ไปต่างหากถึงจะเรียกว่าความลำบากของจริง เจ้าไปบอกกับคนข้างนอกก่อนว่า ช่วงนี้จงเตรียมน้ำไว้ถังใหญ่ๆ เตรียมยาบำรุงที่ดีที่สุด ยารักษาบาดแผลที่ดีที่สุด แน่นอนว่าให้ดีที่สุดก็ควรเตรียมโลงศพไว้ด้วยหนึ่งโลง ฮ่าๆ ข้าผู้อาวุโสกลัวว่าเจ้าจะคิดไม่ตกแล้วผูกคอตายไปเสียก่อน ก็ดีเหมือนกัน คราวนี้ทั้งครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากันในยมโลก”

เฉินผิงอันต้องพักถึงหนึ่งก้านธูปเต็มกว่าจะลุกขึ้นมาได้ เขาเดินกะเผลกๆ ออกไปนอกห้องได้อย่างยากลำบาก ตรงระเบียงนอกห้อง เขาเห็นเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่หันมามองหน้ากันเอง รวมไปถึงเทพเซียนชุดขาวที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เว่ยป้อเห็นสภาพอเนจอนาถน่าสมเพชของเฉินผิงอันแล้วก็อดพูดกลั้วยิ้มไม่ได้ว่า “ข้าจะไปเตรียมถังยาชั้นดี รวมถึงยาวิเศษพวกยาทา ยาเม็ดเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องเป็นห่วง ที่ร้านผ้าห่อบุญบนเขาหนิวเจี่ยวมีครบหมดทุกอย่าง ส่วนเรื่องเงิน ข้าจะสำรองให้เจ้าก่อนแล้วกัน มีเงินเมื่อไหร่ก็ค่อยคืนเมื่อนั้น ไม่รีบร้อน แต่เพื่อนก็ส่วนเพื่อน ธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ อย่างไรก็ต้องมีการเก็บดอกเบี้ยกันบ้าง”

เฉินผิงอันเค้นรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้ พยักหน้ารับ รอจนเว่ยป้อหายตัวไปแล้ว เขาก็นั่งแปะลงไปบนระเบียง หลังพิงผนัง

เด็กชายชุดเขียวถามเบาๆ “นายท่าน ฝึกวิชาหมัดลำบากหรือไม่?”

เฉินผิงอันนั่งหมดสภาพอยู่บนพื้น ร่างสั่นระริกเบาๆ อย่างห้ามไม่ได้ ตอบอย่างยากลำบากว่า “ลำบากจะตายอยู่แล้ว”

ตอนที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งท่ามกลางพายุหิมะ เด็กชายชุดเขียวเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด เขายังคิดว่าความทรมานที่เรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองของเฉินผิงอันทนแบกรับเอาไว้ หากเป็นตนคงรับไม่ไหว ทรมานเกินไปแล้ว มันไม่ใช่ความเจ็บปวดเหมือนถูกคนตัดแขน เลือดทะลักทลายจนต้องแหกปากร้องไห้จ้าก แต่เป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่เหมือนถูกมีดคมๆ แล่เนื้อเถือหนัง แค่หายใจสักครั้งก็เหมือนดื่มพายุลมกรด กินใบมีดเข้าไป

แต่นี่ขนาดเฉินผิงอันยังรู้สึกว่าลำบาก เด็กชายชุดเขียวก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่านั่นจะเป็นความทรมานแบบใดกันแน่

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันหน้าเมินไปทางอื่น สะอื้นในลำคอเงียบๆ

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องก็ลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงหนัก “เฉินผิงอัน เริ่มฝึกหมัดได้แล้ว!”

เฉินผิงอันถอนหายใจ ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้าไปข้างใน เด็กชายชุดเขียวกลืนน้ำลาย ช่วยงับประตูปิดให้เบาๆ แม้แต่จะมองผู้เฒ่าร่างสกปรกสักครั้งก็ยังไม่กล้า

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!