คาดว่าแก่นแท้ของสองคำว่าเต็มตัวของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวนั้น ก็น่าจะอยู่ที่พลังซึ่งบริสุทธิ์เต็มที่ของพวกเขานั่นเอง
ซ่งจ่างจิ้งที่เคยอยู่ในที่ว่าการของเมืองเล็กแค่อยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร ก็สามารถทำให้หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่ธรรมดารู้สึกเหมือนทุกกล้ามเนื้อกำลังถูกเข็มทิ่มแทงได้เช่นเดียวกัน
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
เฉินผิงอันเตรียมจะขยับตัว แต่คาดไม่ถึงว่าร่างทั้งร่างของเขาจะกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับผนังของเรือนไม้ไผ่อย่างแรง จากนั้นก็ทรุดฮวบลงบนพื้น ดิ้นรนอยู่สองทีก็ได้แต่นั่งพิงผนัง ไม่ว่าอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น มุมปากมีเลือดซึมออกมา
ผู้เฒ่าที่ถีบเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันยกสองมือกอดอก หลุบตาลงมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่มีสภาพอเนจอนาถแล้วแค่นเสียงหัวเราะหยัน “คุมเชิงอยู่กับคนอื่นยังกล้าวอกแวก! รนหาที่ตายจริงๆ!”
เฉินผิงอันใช้มือเช็ดมุมปาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งที ยืนอยู่ตรงกำแพงเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเรียบ “คนบนโลกกล่าวแค่ว่าวิถีวรยุทธ์มีเก้าขอบเขต ไม่เคยรู้ว่าเหนือขอบเขตเก้าขึ้นไปยังมีทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงธรณีของขอบเขตสาม และในความเป็นจริงแล้วรากฐานของขอบเขตสองเจ้าก็ถูกปูไว้ได้ธรรมดาอย่างยิ่ง หากข้าผู้อาวุโสไม่เผยกาย เจ้าที่แสวงหาการฝ่าทะลุขอบเขตที่รวดเร็ว เมื่อใดที่เลื่อนสู่ขอบเขตสาม เกรงว่าคงทำลายรากฐานความสำเร็จในขอบเขตเก้า เส้นทางของการฝึกยุทธ์ไม่มีที่ว่างสำหรับลูกเล่นจอมปลอมอะไรทั้งนั้น สิ่งที่เจ้าทำลงไปก่อนหน้านี้นับว่าไม่เลว แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าเพียงพอ! เพราะการแผ่ปราณในขอบเขตหนึ่งของเจ้าทำได้แย่ไปหน่อย!”
ลมหายใจของเฉินผิงอันเริ่มราบรื่นมากขึ้น จะอย่างไรแล้วก็เป็นเด็กหนุ่มที่ไม่เคยย่อท้อต่อการขัดเกลาร่างกาย รากฐานจึงถูกปูมาดี ต้องรู้ว่าคำว่า ‘ธรรมดา’ และคำว่า ‘ไม่เลว’ จากปากของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นคำวิจารณ์ที่สูงมากแล้ว หากพวกผู้ฝึกยุทธ์ในโลกได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลเต็มหน้า
เฉินผิงอันยังไม่รู้เรื่องวงในที่ซับซ้อนเหล่านี้ จึงได้แต่พูดเสียงสั่น “น้อมรับการสั่งสอนแล้ว”
ผู้เฒ่าก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว ตลอดทั้งเรือนไม้ไผ่ก็สั่นตามไปด้วยเบาๆ ตัวอักษรมองไม่เห็นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนไว้บนไม้ไผ่สีเขียวปรากฏให้เห็นเลือนๆ พร้อมประกายแสงบริสุทธิ์ที่ยากจะสังเกตเห็นไหลเวียนวน ประหนึ่งภาพที่ขวดแสงจันทร์ถูกเทลงบนธารน้ำในคืนนั้น สวยงามน่าประทับใจ
ความคิดของผู้เฒ่ากระตุก แต่ไม่ได้สนใจวัตถุภายนอกเหล่านี้ เขาจ้องเขม็งไปที่เฉินผิงอัน แล้วเปิดเผยความลับสวรรค์โดยตรง “ขอบเขตตัวอ่อนโคลนอยู่ที่ต้องตามหาลมปราณที่มีมาตั้งแต่เกิดเฮือกนั้นให้เจอ ก่อสร้างเค้าโครงกระท่อมแห่งวิถีวรยุทธ์ ลมปราณคือเสาคาน ลมปราณคือผนังสูง! แต่ก่อนที่จะทำให้สำเร็จในรวดเดียว จำเป็นต้องสลายลมปราณให้หมดสิ้นเสียก่อน กำจัดลมปราณสกปรกทั้งหมดที่สะสมมาหลังจากถือกำเนิด หรือแม้แต่ปราณวิญญาณในฟ้าดินก็ต้องถูกชำระล้างไปด้วย! ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อะไรคือเต็มตัว เต็มตัวคือใช้ความแท้และบริสุทธิ์ที่มีมางัดข้อกับฟ้าดินโดยตรง! อย่าไปเลียนแบบพวกผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ถึงเวลาก็ได้แต่เป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ!”
เฉินผิงอันฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อีกอย่างลึกๆ ในใจก็ยังไม่เห็นด้วยกับคำพูดของผู้เฒ่าไปเสียหมด
มุมปากของผู้เฒ่ายกตวัดขึ้น ก่อนจะแค่นเสียงหยัน “ขอบเขตที่สองเรียกว่าขอบเขตครรภ์ไม้ ข้ากลับรู้สึกว่าเรียกขอบเขตเปิดภูเขาจะดียิ่งกว่า เทพเซียนบนภูเขา เทพเซียนบนภูเขา ผู้ฝึกยุทธ์ต้องใช้หนึ่งหมัดผ่าทลายภูเขาที่ว่านี้! ขอบเขตนี้ต้องฝึกฝนเส้นเอ็นและกระดูก หากวางรากฐานไว้ดี ความสำเร็จในอนาคตก็จะไม่แพ้ร่างวัชระมิพ่ายของลัทธิพุทธ หรือร่างแก้วผ่องแพ้วของลัทธิเต๋าเลย เพราะผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราก็สามารถหล่อหลอมเรือนกายที่มั่นคงแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุดได้เหมือนกัน ส่วนสำนักการทหาร เฮอๆ หัวมงกุฎท้ายมังกร วิธีที่ใช้ทั้งเหมือนโจรร้ายที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง อีกทั้งยังเป็นทางลัด น่าขันอย่างถึงที่สุด!”
สำนักการทหารมีเส้นทางลัดที่เชื่อมโยงไปยังสวรรค์อยู่เส้นหนึ่งจริง นอกจากจะสามารถเชิญให้เทพลงมาจากภูเขา เชิญให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสิงร่าง ยังสามารถเลี้ยงวิญญาณวีรบุรุษแห่งสนามรบไว้ในช่องโพรงลมปราณตัวเองได้ วิญญาณวีรบุรุษคือวิญญาณที่เกิดมาก็แข็งแกร่ง ตายไปแล้ววิญญาณยังไม่แหลกสลาย หากนักพรตผสานรวมจิตวิญญาณตัวเองเข้ากับมันได้สำเร็จ เรือนกายของพวกเขาก็จะเป็นเหมือนเตาหลอมยาของลัทธิเต๋าที่น้ำกับไฟผสมผสาน กลายเป็นอีกเส้นทางหนึ่ง เป็นวิธีการที่จะทำให้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อออกมาจากปากของผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกคนนี้ วิถีทางของสำนักการทหารกลับกลายเป็นว่าไม่มีค่าให้พูดถึง คำพูดของเขาช่างใหญ่โตจนน่าตกใจ
ผู้เฒ่ากระดิกนิ้วเรียกเฉินผิงอัน “มาๆๆ ข้าผู้อาวุโสจะกดขอบเขตให้อยู่ที่ขอบเขตสาม เจ้าออกแรงให้เต็มที่ สู้ให้สุดชีวิต หากทำให้ข้าผู้อาวุโสขยับได้ครึ่งก้าวก็จะถือว่าเจ้าชนะ!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย
เขายังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ไม่ได้ นับตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าปรากฏตัวอย่างกะทันหัน บอกว่าตัวเองคือปู่ของชุยฉาน มาจนถึงตอนนี้ที่อยู่ดีๆ ก็เปิดฉากท้าตีท้าต่อย ทำเอาเฉินผิงอันมึนงงไปหมด ด้วยสถานะและตัวตนของชุยฉานในทุกวันนี้ จำเป็นต้องให้อาจารย์ที่ไร้ฝีมือไม่สมกับตำแหน่งอย่างเขาคุ้มครองด้วยหรือ? อีกอย่างผู้เฒ่าเองก็พูดแล้วว่า วิถีแห่งการฝึกยุทธ์ไม่มีทางลัดให้เดิน พรสวรรค์ของตนก็ย่ำแย่ขนาดนี้ ชีวิตนี้จะสามารถเดินไปสูงถึงครึ่งหนึ่งของชุยฉานหรือไม่ เฉินผิงอันยังไม่กล้าวาดหวัง ถ้าอย่างนั้นคำพูดของผู้เฒ่าก็ไม่เท่ากับว่าขัดแย้งกันเองหรอกหรือ?
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นิสัยอย่างเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ จะตีกันก็ตีสักที ทำไม หรือยังต้องให้ข้าผู้อาวุโสคุกเข่าขอร้องให้เจ้าออกหมัดด้วย?”
ในที่สุดนิสัยด้านความดื้อรั้นดันทุรังของเฉินผิงอันก็เผยออกมาให้เห็น เขายังคงอยู่ในท่าป้องกัน ไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
จุดลึกในดวงตาของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างมองดูไม่ชัด “ข้าผู้อาวุโสถามเจ้าแค่คำเดียว ยังอยากจะเลื่อนสู่ขอบเขตสาม อีกทั้งยังเป็นขอบเขตสามหนึ่งเดียวในใต้หล้าอีกด้วยหรือไม่?!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอบอย่างไม่ลังเล “อยาก!”
ผู้เฒ่าเบี่ยงศีรษะมาเล็กน้อย ยื่นนิ้วมือชี้ไปที่สมองของตัวเอง สีหน้าโอหังอย่างถึงที่สุด “ถ้าอย่างนั้นก็ต่อยมาตรงนี้! นิสัยเจ้าไม่ถูกใจข้าผู้อาวุโสเอาซะเลย แต่เห็นแก่ฉานฉาน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกหนึ่งครั้ง หากออกหมัดได้อย่างมีพลังอำนาจ ข้าก็จะช่วยเจ้า ให้เจ้าได้ไปสัมผัสกับขอบเขตสามที่แท้จริงกับตัวเองสักครั้ง”
เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะต่อยท่านจริงๆ แล้วนะ? เวลาใดที่ข้าออกหมัดไม่เคยออมมือ!”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง “พูดพล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย นังหนูน้อย! บ้านเจ้ามีผีขี้ขลาดอย่างเจ้าได้ยังไงกันนะ? ในกางเกงมีไอ้จ้อนอยู่หรือเปล่า? พ่อแม่เจ้าก็ต้องเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวเหมือนกันสินะ?”
โทสะเดือดดาลบังเกิดขึ้นเต็มอกของเฉินผิงอัน
คนที่มองดูเหมือนจะใจอ่อนมีเมตตา ในพื้นที่หัวใจย่อมต้องมีจุดที่แข็งแกร่งปานเหล็กอยู่แห่งหนึ่ง ถึงทำให้เขาสามารถประคับประคองความดีงามที่มองดูเหมือนโง่เขลาท่ามกลางความยากลำบากของชีวิตไว้ได้
เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงก็เป็นเช่นนี้
การเดินทางไกลตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ เขาฝึกวิชาหมัดทุกคืนวันไม่มีหยุดพัก
เฉินผิงอันก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวก็พลันระเบิดความเร็วที่น่าตะลึงออกมาในเสี้ยววินาที มาโผล่พรวดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่า ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดต่อยเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่าย
มองเหมือนว่าแค่หมัดเดียว แต่กลับเกิดเสียงปังๆ สองครั้งติด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!