ช่วงนี้สายตาของผู้ฝึกลมปราณแทบทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนพากันเหลือบมองไปทางร้านตีเหล็กอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ในศาลาและหอเรือนสร้างใหม่ที่อยู่บนยอดเขา และสะพานขึงสูงลิ่วที่แขวนอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกมักจะมีผู้ฝึกลมปราณมารวมตัวกัน พวกเขาจะทอดสายตามองไกลๆ ไปยังภาพบรรยากาศของการหลอมกระบี่ที่อยู่ในเตาหลอมนอกภูเขา ต่อให้เป็นนักโทษของราชวงศ์สกุลหลู รวมไปถึงทหารของต้าหลีซึ่งทำหน้าที่จับตามองชาวบ้านที่ชาติล่มจมเหล่านี้ก็ยังพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันทุกครั้งที่มีเวลาว่าง คาดเดาว่าหากอริยะหร่วนฉงหลอมกระบี่สำเร็จจะก่อให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในฟ้าดินหรือไม่
และเมื่อพลังอำนาจในการหลอมกระบี่ของวันนี้ทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด บวกกับที่จิตใจของเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระวุ่นวายไม่เป็นสุข หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจที่ตบะไม่มากพอ แม้จะมีโชคชะตาแห่งน้ำและภูเขาของที่แห่งนี้ให้การปกป้องอย่างลับๆ ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในเตาหลอมร้อนระอุ ทรมานเกินจะทน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้สึกได้ว่านี่ต้องเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้วอย่างแน่นอน อาวุธเทพเล่มนั้นจะหลอมสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้แล้ว
ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเตรียมตัวรอไว้เรียบร้อยนานแล้ว และกำลังจะออกเดินทางไปยังท่าเรือที่ภูเขาอู๋ถง คราวก่อนที่เว่ยป้อพาพวกเขาเดินสำรวจไปในพื้นที่ใต้การปกครองของเขา ทำให้ได้เห็นว่ายอดบนของทั้งภูเขาอู๋ถงถูกตัดทิ้งทั้งหมด ตอนนั้นเว่ยป้อเล่นแง่ไม่ยอมบอกว่าเรือขนาดใหญ่บนท่าเรือซึ่งมีพื้นที่กินบริเวณรัศมีสี่ห้าลี้ที่นักพรตใช้เดินทางไกลนั้นคือวัตถุใดกันแน่
ของขวัญที่หร่วนซิ่วมอบให้ก่อนจากลาคือขนมดอกท้อหนึ่งถุง แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาไหว้วานให้เว่ยป้อไปพูดกับหร่วนฉงเรื่องที่เขาจะมอบภูเขาเป่าลู่ให้กับหร่วนซิ่ว ผลกลับกลายเป็นว่าเว่ยป้อกลับเรือนไม้ไผ่มาด้วยสีหน้าดำทะมึน ท่าทางดูไม่ได้ เขาเล่าว่าหลังจากบอกหร่วนฉงก็โดนอีกฝ่ายพาลโมโหใส่ ตบรางวัลให้เขาเว่ยป้อด้วยคำว่า ไสหัวไป จากนั้นก็ให้คำตอบเฉินผิงอันด้วยประโยคที่ยาวกว่าเล็กน้อยว่า “บอกให้เจ้าเด็กนั่นไสหัวไปให้ไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ล้มเลิกความคิด รู้ดีว่าเรื่องนี้พาให้คนคิดไปไกล เพราะอย่างไรซะเรื่องของความปรารถนาดีที่เกิดจากความห่วงใยก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้โดยง่ายหากเป็นความต้องการของฝ่ายเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องวางเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว เด็กชายชุดเขียวบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่อยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าจะบุญคุณหรือความแค้นก็ล้วนปฏิบัติตามหลักภูเขาเขียวแม่น้ำใส กาลเวลายังอีกยาวไกล เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้พูดได้อย่าง ‘สง่างามและมีเหตุผล’ คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าในอนาคตย่อมต้องมีโอกาสได้ตอบแทนพ่อลูกสกุลหร่วนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
แต่ด้วยความรอบคอบเฉินผิงอันก็ยังมาปรึกษากับเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนัก จึงตัดสินใจรบกวนเว่ยป้ออีกรอบ ให้เทพขุนเขาเหนือท่านนี้ไปเชิญคนทำขนมที่มีฝีมือดีเยี่ยมมาสองคน รอจนเขาออกจากเขตการปกครองหลงเฉวียนเมื่อไหร่ก็ให้ไปช่วยเรียกลูกค้าที่ร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลง สุดท้ายบอกให้เด็กน้อยสองคนไปบอกกับแม่นางหร่วนซิ่วว่า วันหน้าหากอยากกินขนมในร้านก็กินได้ตามสบาย จะไม่เก็บเงินแม้แต่อีแปะเดียว
การเดินทางไกลลงใต้ของเขาครั้งนี้ ทั้งเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูต่างก็อยากติดตามไปด้วย คนหนึ่งกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่มีคนปกป้อง พรุ่งนี้อาจถูกคนต่อยหัวระเบิด รอจนเฉินผิงอันกลับบ้านเกิดมาในครั้งหน้าก็คือต้องขุดหลุมจุดธูปให้เขาแทนแล้ว อีกอย่างก็คืองูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงที่ตบะเลื่อนไปอีกหนึ่งขอบเขตอยากจะกลับไปใช้ชีวิตสนุกสนานและมีอิสระเสรีในยุทธภพอีกครั้ง อยากจะทวงคืนหน้าตาและศักดิ์ศรีของวีรบุรุษที่เสียไปสิ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนมาจากโลกภายนอกให้หมด
ส่วนเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนั้นมองตัวเองเป็นสาวใช้ตัวน้อยไปอย่างสิ้นเชิง นางกังวลว่านายท่านของตนจะไม่มีคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย นางอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แบบนั้นทำให้นางละอายใจมาก
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่รับปากพวกเขาทั้งสองคน
เด็กชายชุดเขียวทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะแขวนคอตาย เดี๋ยวก็บอกว่าจะกระโดดหน้าผา แล้วเดี๋ยวๆ ก็ทำท่าจะลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอน ใช้สารพัดวิธีจนครบถ้วน ส่วนเฉินผิงอันเองก็ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบถึงทำให้เด็กชายชุดเขียวยอมอยู่ฝึกตนที่เรือนไม้ไผ่ต่อ ยังดีที่ตอนนี้เด็กชายชุดเขียวมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับงูดำจากภูเขาฉีตุน มักจะไปคุยโม้ประจบประแจงอีกฝ่ายเป็นประจำ จึงพอจะนับงูดำเป็นพี่น้องของตัวเองได้อย่างถูไถ แม้งูดำจะไม่เคยจำแลงกายเป็นมนุษย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือปณิธาน เด็กชายชุดเขียวก็ล้วนเทียบไม่ติด จะว่าไปแล้วถึงแม้งูน้ำแม่น้ำอวี้เจียงที่พลัดจากถิ่นฐานบ้านเกิดตนนี้จะมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่หากเอาไปเทียบกับบรรดาเจียวหลงด้วยกัน อายุของมันก็ถือว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มเท่านั้น แถมยังเป็นเด็กหนุ่มประเภทที่ ‘ไม่มีพ่อแม่สั่งสอน’ จึงค่อนข้างเกเรด้วย เมื่อไม่เคยได้รับการชี้นำจากพระวิสุทธิอาจารย์และการอบรมปลูกฝังจากสำนัก ต่อให้จะผดุงคุณธรรมตามหลักของคนในยุทธภพที่เขาเลื่อมใสก็ยังดูไม่ต่างจากเด็กน้อยที่เอาแต่ใจในสายตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เคยอ่านตำรามานับหมื่นเล่ม
เพียงแต่ว่าอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ เด็กชายชุดเขียวจึงถูกขัดเกลาไปมาก บวกกับที่เดิมทีเขาเองก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจในตัวเขาได้บ้าง แค่กำชับเขาว่าห้ามรังแกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวตบอกตัวเองดังป้าบๆ บอกว่าลูกผู้ชายชาตรี รังแกเด็กผู้หญิงจะนับเป็นอะไรได้
ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว
เว่ยป้อแอบชี้ไปยังห้องชั้นสอง ถามยิ้มๆ “พร้อมแล้วนะ? จะไปบอกลาท่านผู้อาวุโสสักคำหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หมุนตัวเดินไปเคาะประตูห้อง “ข้าไปแล้วนะ”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้านั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง น้ำเสียงที่เอ่ยตอบแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยว “จะไม่พิจารณาอีกสักหน่อยรึ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะมัวถ่วงเวลาล่าช้าไม่ได้ ต้องรีบไปทันที”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “ระยำ!”
เฉินผิงอันระอาใจ หันหน้ามาพูดกับเว่ยป้อแทน “พวกเราเดินทางไปที่ภูเขาอู๋ถงกันเถอะ”
หร่วนซิ่วยืนโบกมือเบาๆ อยู่ข้างราวระเบียง
เฉินผิงอันยังคงสวมรองเท้าสานที่ตัวเองคุ้นเคยมากที่สุด ในอ้อมอกกอดกระบี่ยาวเล่มใหม่ที่ใช้ผ้าฝ้ายห่อไว้อย่างแน่นหนา ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดง สะพายกระบี่ไม้ไหวไว้ด้านหลังหนึ่งเล่ม นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
เขาอยากจะพูดอะไรกับหร่วนซิ่วสักหน่อย แต่รู้สึกว่าอาจจะเกินความจำเป็น จึงเกาหัว พูดเบาๆ ว่า “แม่นางหร่วน รักษาตัวด้วยนะ”
ขนตาของเด็กสาวชุดเขียวสั่นไหวเล็กน้อย นางพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มอ่อนบาง
เฉินผิงอันหันไปกำชับเด็กน้อยสองคน “วันหน้าต้องตั้งใจฝึกตนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วให้ดี หากเจอปัญหาก็อย่าวู่วาม พวกภูเขาที่ซื้อไว้นอกจากจ่ายเงินตอนซื้อแล้วก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรอีก ไม่จำเป็นต้องเสียดาย ข้าพูดกับเทพภูเขาเว่ยไว้แล้วว่า หากมีเรื่องอะไรให้ทนไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เขาใช้วิชาอภินิหารย้ายเรือนไม้ไผ่ไปที่ภูเขาพีอวิ๋น พวกเจ้าไปหลบอยู่ที่นั่นก็ไม่มีเรื่องแล้ว อีกอย่างยังมีท่านผู้อาวุโสช่วยดูแลเรือนไม้ไผ่ให้ พวกเจ้าจึงไม่ต้องกังวลอะไร”
เฉินผิงอันที่จู้จี้ขี้บ่นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่เด็กชายชุดเขียวรำคาญไม่ลง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกำชายแขนเสื้อของนายท่านตัวเองเอาไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ สีขาวอมชมพูมีน้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงเป็นสาย อาลัยอาวรณ์อย่างถึงที่สุด
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ครั้งนี้เดินทางฉุกละหุกเกินไป ไม่อาจกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงได้ แม้แต่หลุมศพของบิดามารดาก็ยังไม่ได้ไปไหว้ หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่เสียดายเลยต้องโกหกแน่ แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ เฉินผิงอันรู้จักหนักเบา รู้จักรีบรู้จักผ่อน
ต้องรู้ว่าครั้งนี้ที่ตนเดินทางไปส่งกระบี่ยังทิศใต้ถือเป็นแผนการที่เกิดจากการร่วมมือกันของหยางเหล่าโถว หร่วนฉงและเว่ยป้อ หยางเหล่าโถวนั้นมีสาเหตุมาจากคนจิ๋วควันธูปสีทอง ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งระหว่างเขากับเฉินผิงอัน หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือระหว่างเขากับอาจารย์ฉี จึงต้องการช่วยให้เฉินผิงอันไปให้ห่างจากที่แห่งนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำไมต้องไปก็เพราะคำว่า ‘ผิดและถูก’ เพราะก่อนหน้านี้หลีซีเซิ่งก็เคยเอ่ยว่า ‘สถานที่แห่งนี้ไม่ควรอยู่นาน’ เฉินผิงอันจึงเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!