บทที่ 205.2 – ตอนที่ต้องอ่านของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!
ตอนนี้ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 205.2 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ส่วนเขาเว่ยป้อ ราชครูต้าหลีชุยฉาน หร่วนฉง เซี่ยสือ เฉาซี สวี่รั่วแห่งสำนักโม่ เฉิงสุ่ยตงเจียวเฒ่าแห่งสำนักศึกษาหลินลู่ ฯลฯ ก็ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีใครหนีรอด ทุกคนต้องถูกมัดรวมอยู่ด้วยกัน จะเป็นหรือตายก็ล้วนเลือกไม่ได้ ไม่ต่างจากเฉินผิงอัน ต้องดูเจตนารมสวรรค์และโชควาสนาเท่านั้น
ส่วนภูเขาสามสิบกว่าลูกนั้น สุดท้ายแล้วจะเหลืออยู่กี่ลูกก็พูดได้ยาก แต่ต้นไม้ใหญ่มักเรียกลม พลาดแค่ก้าวเดียวภูเขาพีอวิ๋นที่จะได้ขึ้นเป็นขุนเขาเหนือของต้าหลีก็อาจต้องพังถล่มล้มครืนลงมา ต้องรู้ว่าคำว่าวิชาอภินิหารของเซียนไม่ได้เป็นแค่คำเรียกที่สวยหรูเกินจริง
เว่ยป้อที่ยังหวาดผวาไม่คลายหยุดเดิน หันมาตบไหล่เฉินผิงอันแรงๆ “เฉินผิงอัน หากรู้อย่างนี้แต่แรก ข้าจะไม่เก็บเงินค่ายาจากเจ้าแม้แต่ครึ่งอีแปะ!”
เฉินผิงอันตะลึง แต่จากนั้นก็ยิ้มกว้าง “คืนเงินข้ามาตอนนี้ก็ยังทันนะ”
เว่ยป้อแสร้งทำเป็นล้วงค้นเข้าไปในชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันรอเขาควักเงินออกมาอย่างเงียบๆ ไม่มีท่าทีจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย
เว่ยป้อหัวเราะถอนฉิว “เฉินผิงอัน เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ!”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง ตบน้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “แค่เจ้านี่ก็พอแล้ว!”
เว่ยป้อโอบไหล่ของเฉินผิงอันแล้วพากันเดินขึ้นไปบนภูเขา “ข้าก็รู้อยู่แล้วว่า เจ้าเฉินผิงอันไม่เคยขี้เหนียวกับสหายของตัวเอง”
เฉินผิงอันเงียบไปนาน สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวสองคำว่า “ขอบคุณ”
เว่ยป้อแสร้งกระเง้ากระงอดเหมือนผู้หญิง “เพื่อนกันเอ่ยคำว่าขอบคุณ มันน่าเสียใจนะรู้ไหม นี่ก็เหมือนกับที่ระหว่างชายหญิงเขาไม่พูดคำว่าเงินกันนั่นแหละ”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในบัดดล
คิดว่าต้องจดจำหลักการนี้ให้ขึ้นใจ ไว้คราวหน้าจะสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่
วันหน้าเมื่อไปเจอแม่นางหนิงที่ภูเขาห้อยหัวห้ามพูดคำว่าเงินๆ ทองๆ เด็ดขาด
นี่เรียกว่านำความรู้ไปปฏิบัติจริง
ตอนนี้เว่ยป้อคือบุคคลโด่งดังที่ทุกคนล้วนรู้จัก บวกกับที่เขาเป็นเทพเซียนบนภูเขาซึ่งในมือกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ แต่มีเทพเซียนที่ไหนพูดคุยง่ายอย่างเว่ยป้อบ้าง? ดังนั้นเขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังมองออกว่าผู้ฝึกลมปราณและนักพรตบุกเบิกภูเขาที่เอ่ยทักทายเว่ยป้อต่างก็รู้สึกใกล้ชิดและสนิทสนมกับเขาจากใจจริง
ตลอดทางที่เดินขึ้นเขามีเสียงทักทายดังไม่ขาดระยะ เว่ยป้อไม่ได้หยุดเดิน แต่จะหันไปยิ้มรับและชวนคุยเฮฮาสองสามคำ ทำให้เกิดเสียงหัวเราะต่อเนื่อง
ระหว่างนี้มีภูตประหลาดที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งซึ่งวิชาการประจบสอพลอไม่เป็นรองเด็กชายชุดเขียว เขาตามตื๊อจะขอนำทางให้กับเทพภูเขาเว่ยผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ แต่กลับถูกเว่ยป้อสบถด่าขำๆ เตะเขาจนกระเด็นไปไกล ผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นไม่โมโห กลับยังรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ ใบหน้าที่มองแผ่นหลังอันสง่างามของเทพเซียนชุดขาวเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ทว่าตอนที่ใกล้จะไปถึงท่าเรือบนยอดเขาอู๋ถง เว่ยป้อกลับเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ภาพเหตุการณ์ที่มองดูเหมือนจริงใจและปรองดองสามัคคีเช่นนี้ ล้วนเป็นภาพลวงตาทั้งหมด จะไม่ปฏิเสธก็ได้ แต่อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเกินไปนัก หากข้าเว่ยป้อยังเป็นเทพเจ้าที่ของภูเขาฉีตุน คิดจะพูดกับพวกเขาสักคำยังยาก แน่นอนว่าการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคี อย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจเงียบๆ
ตรงแถบริมขอบท่าเรือของภูเขาอู๋ถงคือหอสูงที่เพิ่งสร้างเสร็จแห่งหนึ่ง สร้างมาจากหินหยกสีขาวสะอาดกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ตรงนั้นมีผู้ฝึกลมปราณแต่งกายแตกต่างกันมารวมตัวกันอยู่หลายสิบคนแล้ว และยังมีเด็ก สตรีและคนชราที่แต่งกายงดงามสดใสอีกส่วนหนึ่ง ฝ่ายหลังน่าจะเป็นกองกำลังของตระกูลเซียนที่หลังจากซื้อภูเขาแล้วก็ขึ้นมาสังเกตการณ์ผลงานของคนอื่น ตอนนี้น่าจะกำลังเตรียมกลับไปที่จวนของตัวเอง พอเห็นเว่ยป้อกับเฉินผิงอัน พวกเขายังเป็นฝ่ายตรงเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น เว่ยป้อรู้จักชื่อแซ่และตระกูลของคนเหล่านั้นเหมือนรู้สมบัติในคลังของตัวเอง เขาวางตัวเข้าสังคมได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้คนที่พูดคุยด้วยรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เฉินผิงอันจงใจไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่จับตามองทุกรายละเอียดไม่ให้คลาดสายตา ในใจรู้สึกอิจฉาและนับถือ การที่สามารถวางตัวได้ดีและพูดคุยกับคนอื่นได้อย่างถูกคอเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เว่ยป้อบอกว่าตัวเองคือ ‘ทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือ’ แล้วจะอธิบายทุกอย่างได้
สำหรับการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เว่ยป้อแค่พูดถึงด้วยน้ำเสียงสบายๆ บอกว่าเฉินผิงอันมีญาติคนหนึ่งอยู่ทางใต้ จึงถือโอกาสไปเยี่ยมญาติและสหายด้วย ยกตัวอย่างเช่นเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพแคว้นหนันเจี้ยน และยังมีหลิวป้าเฉียวแห่งสวมลมหิมะ เฉินผิงอันที่ฟังอยู่เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งศีรษะ เอาอะไรมาพูดกันนี่ หากจะบอกว่าไปเยี่ยมญาติก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ไปลากเอาแม่ชีสาวกับผู้ฝึกกระบี่มาเกี่ยวข้องด้วย เฉินผิงอันให้รู้สึกลำบากใจจริงๆ เขากับเฮ้อเซียนซือมีโอกาสพบกันครั้งหนึ่งบนหินหลังควาย แต่เขาก็แค่มอบหินดีงูก้อนหนึ่งให้กับนาง ส่วนหลิวป้าเฉียวนั้นอาจจะคุ้นเคยกันสักหน่อย เพราะตอนที่ขึ้นเขาไปพร้อมกับเฉินตุ้ยและเฉินซงเฟิง หลิวป้าเฉียวเป็นคนมีนิสัยร่าเริง แถมยังชอบเรียกพี่เรียกน้องกับคนอื่นไปทั่ว แต่ในความเป็นจริงแล้วคนทั้งสองไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกับเขาเลย จะพูดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างผิวเผินก็ยังพูดได้ไม่เต็มปาก แต่เว่ยป้อกลับเอามาคุยโวเสียใหญ่โต เฉินผิงอันจะขัดคอเขาก็ไม่ได้ ได้แต่อดกลั้นเอาไว้จนเกือบจะบาดเจ็บภายใน
คนพูดไม่มีเจตนา คนฟังกลับคิดไปไกล เฮ้อเสี่ยวเหลียงและหลิวป้าเฉียวต่างก็เป็นคนมีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงของทวีป โดยเฉพาะเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่เป็นถึงกุมารีหยกของระบบเต๋า ลำพังแค่นางคนเดียว คนที่มีความเกี่ยวข้องกับนางแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ทั้งบนและล่างภูเขา ใครบ้างที่กล้าไม่เห็นแก่หน้าของสหายสำนักโองการเทพ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมหิมะอีกคน ดังนั้นบุคคลทั้งหลายที่ทั้งคนในราชสำนักและคนในบ้านเกิดของพวกเขาต่างก็ไม่กล้าดูแคลนจึงยิ่งปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มสะพายกระบี่หน้าตาไม่โดดเด่นอย่างกระตือรือร้น แถมยังมีคนเป็นฝ่ายส่งมอบป้ายชื่อที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามมาให้ ทำเอาเฉินผิงอันอับอายจนอยากจะขุดรูมุดหนีลงไปใต้ดิน
เว่ยป้อยินดีกับสิ่งที่เห็น เสียงหัวเราะของเขาลึกซึ้งเกินกว่าจะคาดเดาความหมาย
ส่วนข้อที่ว่าระหว่างเทพภูเขาเว่ยกับเด็กหนุ่มคนในพื้นที่ที่ได้ครอบครองภูเขาห้าลูกมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไรกันแน่ กลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ทุกคนจึงพากันวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย
แล้วจู่ๆ ก็มีคนตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เรือคุนมาแล้ว” (คุนคือปลาขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งที่ปรากฏในตำนานโบราณ)
เฉินผิงอันมองตามสายตาของทุกคนไปก็เห็นวัตถุขนาดมหึมากำลังแหวกทะเลเมฆขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้ภูเขาอู๋ถงอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าวัตถุที่มีลักษณะเหมือนครีบปลานั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังไม่ได้ใหญ่โตธรมดา แต่กลับเหมือนภูเขาลูกยักษ์ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า กดทับลงมาทางท่าเรือของภูเขาอู๋ถง เมื่อ ‘เรือคุน’ ลดระดับลงมาอย่างต่อเนื่อง เฉินผิงอันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจ้อยนิดเดียว
เฉินผิงอันอดทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังไม่ได้ ไม่เสียแรงที่เป็นเรือซึ่งเทพเซียนโดยสารกัน พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ไม่ธรรมดาจริงๆ
เรือคุนลำหนึ่งสามารถเดินทางข้ามทวีปไปไกลนับพันนับหมื่นลี้ อีกทั้งคำว่า ‘นับพันนับหมื่นลี้’ นี้ยังไม่ใช่แค่จำนวนแบบกะคร่าวๆ เท่านั้น ก่อนหน้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนจะสร้างท่าเรือแห่งใหม่นี้ขึ้นที่ภูเขาอู๋ถง ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนไม่มีคุณสมบัติมากพอจะให้เรือคุนลงจอด มีเพียงแคว้นหนันเจี้ยนกับนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้นที่มีท่าเรือให้เรือคุนจอด
ราชวงศ์บางส่วนที่มีอำนาจทางการเงินและทางทหารมากพอ แน่นอนว่าต้องมีท่าเรือสำหรับผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางไปทั่วสารทิศ แต่ ‘เรือ’ ส่วนใหญ่ล้วนมีขนาดเล็ก รองรับผู้โดยสารได้จำกัด ปริมาณการขนส่งสินค้าด้อยกว่าเรือคุนที่มีเฉพาะในอุตรกุรุทวีปอยู่มาก การรับผู้โดยสารของเรือคุนยังเป็นเพียงแค่วิธีการหาเงินช่องทางเล็กๆ เพราะหลักๆ แล้วจะเน้นไปที่การรวบรวมวัตถุดิบวิเศษในฟ้าดินและสัตว์หายากล้ำค่าของแต่ละพื้นที่มาขาย และเรือคุนยังมีการแบ่งออกเป็นสามระดับ เรือคุนระดับหนึ่ง สันหลังของปลาคุนจะกว้างใหญ่มาก ใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อจนถึงขั้นเทียบเคียงได้กับเขตการปกครองแห่งหนึ่งของต้าหลีได้เลย หากได้ผู้ฝึกลมปราณของหลายฝ่ายซึ่งรวมถึงช่างกลไกสำนักโม่มาช่วยกันสร้างอย่างตั้งใจ ข้างในก็มีได้ทั้งภูเขาและแม่น้ำ มีจวนมีหอสูงใหญ่ มีถนนมีตลาด มีครบหมดทุกอย่างที่ต้องการ ผู้ฝึกลมปราณนับพันนับหมื่นสามารถใช้ชีวิตอยู่บนนั้นได้ตลอดชีวิตโดยที่ไม่รู้สึกถึงความอึดอัดไม่สะดวกไม่สบาย
เว่ยป้อเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ปลาคุนมีนิสัยอ่อนโยนควบคุมง่าย หลังจากได้รับการฝึกฝนจากผู้ฝึกลมปราณเป็นการเฉพาะมาแล้ว ต่อให้ถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสก็สามารถทนรับกับความเจ็บปวดโดยไม่ดิ้นสะบัด ดังนั้นเมื่อเทียบกับเรือขนาดใหญ่ประเภทอื่น ปลาคุนจึงค่อนข้างจะปลอดภัยและมั่นคงมาก พวกเต่าขุนเขาหรือปลาวาฬกลืนสมบัติก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการนำมาทำเรือเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจำนวนของพวกมันมีน้อย อีกทั้งยังค่อนข้างจะอารมณ์ร้าย และในประวัติศาสตร์ก็มีโศกนาฎกรรมที่เต่าขุนเขาดำดิ่งลงไปก้นทะเลโดยพลการ”
เฉินผิงอันยังคงอ้าปากค้างไม่หุบ
บนสันหลังของปลาคุนไม่เพียงแต่ราบเรียบกว้างขวาง ยังมีราวระเบียงล้อมเป็นวงกลม มีหอเรือนสูงขึ้นเรียงเคียงกัน และเรือคุนที่ขนาดใหญ่จนกินพื้นที่ท่าเรือไปเกินครึ่งภูเขาลำนี้ก็ไม่ได้แนบติดกับพื้นดิน แต่ลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างจากพื้นดินไปหลายจั้ง ก่อให้เกิดลมภูเขาพัดเป็นระลอกจนฝุ่นดินคละคลุ้ง ยังดีที่หอสูงสำหรับขึ้นเรือสร้างอยู่ระหว่างปลาคุนพอดี คนที่ยืนอยู่บนหอสูงจึงไม่ถูกลมแรงพัดให้หล่นไปที่ตีนเขา
ในฐานะวัตถุฟางชุ่นหายากที่ได้แต่ปรารถนายากที่จะได้มาครอบครอง ‘สืออู่’ ที่แลกมาด้วยปิ่นหยกธรรมดาชิ้นหนึ่งมีขนาดไม่สะดุดตามากนัก ความกว้างและความยาวพอๆ กับกระบี่ไม้ไหวที่มีชื่อว่า ‘ปราบมาร’ เฉินผิงอันชอบมันมาก ตอนนี้เขาใช้จิตของตัวเองควบคุมกระบี่ได้อย่างคุ้นเคย ไม่ว่าจะเอาของใส่หรือหยิบของออกมาก็ล้วนคล่องแคล่ว ความรู้สึกที่มีวัตถุผุดออกมาจากความว่างเปล่านั้นทำให้เด็กบ้านนอกผีขี้เหล้าอย่างเฉินผิงอันรู้สึกดียิ่งกว่าตอนดื่มเหล้าจนเมากรึ่มๆ เสียอีก
ตอนนี้ในวัตถุฟางชุ่นมีตราประทับตัวอักษรจิ้ง กับตราประทับขุนเขาและแม่น้ำคู่หนึ่งที่ฉีจิ้งชุนมอบให้
ตำราหมัดเขย่าขุนเขาที่ช่วยเก็บรักษาแทนกู้ช่านก่อนชั่วคราว
ตำราลัทธิขงจื๊อหลายเล่มที่เหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่ามอบให้
พู่กันด้ามไม้ไผ่ซึ่งสลักสี่คำว่า ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ และ ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ จากหลี่ซีเซิ่ง นอกจากพู่กันแล้ว หลี่ซีเซิ่งยังให้ชุยชื่อนำกระดาษยันต์ว่างเปล่าจำนวนมากมามอบให้ ซึ่งกระดาษนั้นแบ่งออกเป็นสามชนิดใหญ่ๆ ได้แก่กระดาษสีเหลืองที่มีจำนวนมากสุด กระดาษสีทองที่มีลวดลาย รวมไปถึงกระดาษยันต์ที่ลักษณะเหมือนหน้าหนังสือสีเหลืองซีดที่มีน้อยที่สุด และยังมีหนังสือการเขียนยันต์เบื้องต้นอีกส่วนหนึ่ง
เทียบยาสองสามแผ่นที่นักพรตหนุ่มลู่เฉินทิ้งไว้ให้
แผนที่ซึ่งระบุถึงอาณาเขตของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปปึกใหญ่ เว่ยป้อเป็นผู้มอบให้ เป็นของแถมเล็กน้อยหลังจากที่เฉินผิงอันจ่ายค่ายาด้วยหินดีงู
‘เหรียญทองแดง’ เนื้อหยกหลายร้อยชิ้น เฉินผิงอันใช้หินดีงูธรรมดาที่เหลืออยู่แลกมาจากเด็กชายชุดเขียว เหรียญเงินที่ชาวบ้านร้านตลาดด้านล่างภูเขาดูถูกเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เทพเซียนบนภูเขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้มีมูลค่าควรเมืองอย่างเช่นเหรียญทองแดงแก่นทองก็เท่านั้น แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกลมปราณที่ในกระเป๋าเงินบรรจุเหรียญเนื้อหยก เงินทองของมีค่าทั้งหลายในสายตาของชาวบ้านกลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง
นอกจากนี้ในวัตถุฟางชุ่นยังมีแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ ที่ยังไม่ได้สลักตัวอักษร และมีดแกะสลักเล่มเล็ก
และยังมีของกระจุกกระจิกอย่างข้าวสารหนึ่งถุง รวมไปถึงขวดบรรจุน้ำมัน เกลือที่ใช้สำหรับทำอาหาร ตะขอตกปลากำใหญ่ มีดผ่าฟืนบุกเบิกเส้นทางบนภูเขาที่เพิ่งซื้อมาใหม่หนึ่งเล่ม เสื้อผ้าที่ซักสะอาดเอี่ยม รองเท้าสานถักใหม่สองคู่ เป็นต้น
แน่นอนว่ายังมีเศษเม็ดเงินและแผ่นทองอีกส่วนหนึ่ง หลักการที่ว่าเวลาออกนอกบ้าน เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้ชายชาตรีลำบากตายได้นั้น เฉินผิงอันมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งตั้งแต่ตอนเดินทางไปต้าสุยแล้ว
เฉินผิงอันเดินไปได้ครึ่งทางก็อดหันกลับไปมองข้างหลังไม่ได้
เทพภูเขาชุดขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิม โบกมือส่งยิ้มมาให้เขา
เฉินผิงอันโบกมือเป็นการบอกลา แล้วจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง เพียงแต่เขาปลดน้ำเต้าสีชาดตรงเอวออกมาดื่มเหล้ารสแรงเงียบๆ
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมื่อพบกันใหม่คราวหน้า ทั้งสหายในบ้านเกิดและภูเขาแม่น้ำล้วนยังอยู่สุขสบายดังเดิม
ล้วนสงบสุขปลอดภัย (ภาษาจีนใช้คำว่า ผิงผิงอันอัน เหมือนชื่อของเฉินผิงอัน)
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!