เหตุผลคือเหตุผลนี้ พูดก็พูดเช่นนี้ แต่ถึงแม้ว่านักพรตหนุ่มที่ตื่นเช้ากลับดึกจะตั้งแผงเร็วกว่า และเก็บแผงช้ากว่าเพื่อนร่วมอาชีพที่ตั้งแผงอยู่ติดกันมาก แต่ก็ยังคงไม่มีอะไรให้กิน และยิ่งอ้วนไม่ไหว
เพราะตอนนี้ชาวบ้านในเมืองเล็กเชื่อว่านักพรตผู้เฒ่าที่สวมกวานหางปลาต่างหากถึงจะเป็นเทพเซียนที่แท้จริง ทำนายดวงชะตาได้แม่นยำ แถมยังไม่คอยฉวยโอกาสไปขอกินขอดื่มที่บ้านคนอื่นเปล่าๆ และไม่ว่าคนที่มาเสี่ยงเซียมซีขอดูดวงจะเป็นดรุณีน้อยหรือสตรีวัยแต่งงานแล้วที่หน้าตางดงาม สายตาของผู้เฒ่าเจินเหรินก็ไม่เคยหลุกหลิก มีกลิ่นอายของความซื่อสัตย์เที่ยงธรรมเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนใครบางคนที่มักจะสรรหาวิธีการมาหลอกกินขนมจากเด็ก
คนทำการค้าย่อมต้องกลัวเรื่องการถูกเปรียบเทียบมากที่สุด
ดังนั้นช่วงที่ผ่านมานี้ต้องเรียกว่านักพรตหนุ่มเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของใจคนมาอย่างอิ่มหนำ อย่าหวังว่าจะร่ำรวยเลย แค่ข้าวสารจะกรอกหม้อยังแทบไม่มี แม้แต่พวกแม่นางน้อยที่ก่อนหน้านี้พูดคุยกันถูกคอ ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่ให้ดูลายมือ ทุกครั้งที่เดินผ่านแผงยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักด้วย
นักพรตหนุ่มได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ถึงแม้ภายนอกแม่นางน้อยน่ารักที่มีกลิ่นอายของต้นหญ้าบ้านป่าเหล่านี้จะทำตัวห่างเหินกับตน แต่สาเหตุนั้นก็เพราะพวกนางเขินอาย ไม่กล้าทักทายตนก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกนางยังรักและอาลัย หาไม่แล้วทำไมทุกครั้งที่เดินผ่านถึงต้องสวมเสื้อผ้าตัวใหม่งดงามที่ไม่ซ้ำแบบกันด้วยเล่า? นักพรตหนุ่มไม่กล้าทรยศต่อความรักที่เด็กสาวเหล่านี้มอบให้ เขาที่สายตาแหลมคมจึงมักจะเอ่ยเรียกชื่อแซ่ของพวกนางและชื่นชมว่าปิ่นปักผมสวยจังเลย เสื้อผ้าชุดนี้ใส่แล้วเหมาะมาก…พอได้ยินคำชมฝีเท้าของแม่นางหลายคนมักจะสับสน เดินสาวเท้าเร็วๆ จากไป ส่วนสตรีแต่งงานแล้วบางส่วนที่ใจกล้าสักหน่อย หากไม่ทิ้งสายตามาให้ ก็ต้องด่าเขาว่าคนบ้า เสียดายก็แต่ไม่มีใครสนใจกิจการแผงดูดวงของเขาบ้างเลย
นี่ทำให้นักพรตหนุ่มรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ทุกวันเขาจะต้องนั่งเบื่ออยู่หลังแผง หากไม่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดก็เป่าลมร้อนๆ ใส่กระบอกเซียมซี หรือไม่ก็เอามือหนุนท้ายทอยโยกตัวไปข้างหน้าข้างหลัง ไม่อย่างนั้นก็นอนฟุบคว่ำลงไปบนโต๊ะ ผินหน้ามองบรรยากาศครึกครื้นของแผงดูดวงข้างๆ คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอาจโมโหตายได้จริงๆ
ยังดีที่แม้นักพรตหนุ่มจะนั่งแกร่วอยู่บนม้านั่งตั้งแต่เท้าจรดเย็นทั้งวัน เขาก็ไม่ได้อับอายจนพานเป็นโมโห บางครั้งยังเป็นฝ่ายหันไปชวนนักพรตเฒ่าคุยสองสามคำ นี่ทำให้ผู้เฒ่าที่ครุ่นคิดว่าควรจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่ดีหรือไม่พอจะวางใจลงได้บ้าง สุดท้ายแม้แต่นักพรตเฒ่าก็ยังอดไม่ได้ เขาค่อนข้างจะสงสารเด็กรุ่นหลังที่ขาดไหวพริบคนนี้อยู่มาก คิดว่าการเดินทางมาเมืองเล็กในครั้งนี้ ตัวเองได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายเกินครึ่งปี จึงอยากจะพูดเตือนอีกฝ่ายสักสองสามคำ จะได้ไม่มีช่องว่างระหว่างการทำธุรกิจกันอีก เขากวักมือเรียกนักพรตกวานดอกบัวให้ไปนั่งข้างๆ นักพรตหนุ่มจึงวิ่งไปหา สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง “ท่านเซียนผู้เฒ่ามีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ? มีอุบายแยบยลอะไรดีๆ จะช่วยเหลือข้าหรือเปล่า?”
นักพรตเฒ่าหิ้วกาน้ำชาใบเล็กข้างมือขึ้นมาดื่มชาเย็นชืดหนึ่งคำ ถอนหายใจแล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเพิ่งทำอาชีพนี้ได้ไม่นานใช่ไหม?”
นักพรตหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด “ก็ทำมานานพอสมควรแล้ว แค่กิจการไม่ดีเท่าคนอื่น”
ระบบของลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นอีกสามลัทธิ ลูกศิษย์สามคนของมรรคาจารย์เต๋าต่างก็เป็นเจ้าลัทธิของลัทธิหนึ่ง ต้นกำเนิดเดียวกันแต่ประเภทต่างกัน ไม่เพียงแต่แตกกิ่งก้านสาขา ขยายอำนาจอิทธิพลไปในใต้หล้าที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นต่อให้เป็นใต้หล้าไพศาลของราชวงศ์ต้าหลีที่ยกยอเพียงลัทธิขงจื๊อ สำนักใหญ่แห่งต่างๆ ที่วิวัฒนาการมาจากสามลัทธิของลัทธิเต๋าก็มีรากฐานที่ลึกล้ำมั่นคง อารามเต๋าที่อยู่ในใต้หล้ามีมากมายดุจผืนป่า ควันธูปรุ่งโรจน์ แต่ละทวีปล้วนมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เจ้าลัทธิเต๋า เทียนจวินและเจินเหรินเป็นผู้ครอบครอง
นักพรตเฒ่าชี้หน้า ‘เด็กรุ่นหลัง’ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความซวย จากนั้นก็ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ยังจะบอกว่าเจ้าทำอาชีพนี้มานานแล้ว? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดวงแข็งจริงๆ ถึงยังได้ไม่ถูกทางการจับไปกินข้าวแดงในคุก! ข้าผู้เป็นนักพรตถามเจ้าหน่อย เจ้าสวมกวานดอกบัวนี้ไว้ทำไม? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักอารามเต๋าในแจกันสมบัติทวีปของพวกเราที่มีคุณสมบัติได้สวมกวานเต๋าเช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้! ผู้นำก็คือสำนักโองการเทพแห่งแคว้นหนันเจี้ยน เจินเหรินเจ้าสำนักก็คือเทพเซียนฉีซึ่งเป็นเจ้าลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป คือนายท่านผู้เฒ่าที่เมื่อปีก่อนเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นเทียนจวิน! อารามเต๋าแห่งอื่นในแจกันสมบัติทวีปมีที่ไหนบ้างที่ไม่ใช่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของหนึ่งพื้นที่ ไหนเลยจะต้องลดตัวมาเป็นหมอดู จัดตั้งแผงดูดวงเน่าๆ คลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านตลาดที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคาวดินกลิ่นสาบ? ทำไม หรือเจ้าคือเทพเซียนในแผนภูมิหยกของสำนักโองการเทพ หรือว่าเป็นนักพรตเต๋าในบัญชีของอารามเต๋าขนาดใหญ่?”
นักพรตหนุ่มโบกมือ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
เขาที่มีนามว่าลู่เฉินย่อมไม่ใช่บุคคลเช่นนั้น
โทสะของผู้เฒ่าไม่รู้ว่าผุดมาจากไหน เขาเตรียมจะสั่งสอนเจ้าเด็กมุทะลุผู้นี้ แต่จู่ๆ กลับร้องเอ๊ะหนึ่งที สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ที่แท้ตรงร้านด้านข้างมีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนุ่มยืนอยู่ แม้สีหน้าของชายวัยกลางคนจะดูเหมือนคนป่วยไข้ แต่พลังอำนาจกลับเปี่ยมล้น มองแล้วเหมือนคนเป็นขุนนาง มีบารมีของขุนนางเต็มเปี่ยม! เด็กหนุ่มสวมชุดขาวรัดเข็มขัดหยก ใบหน้าหล่อเหลา แค่มองก็รู้ว่าเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงร่ำรวย
คนทั้งสองยืนอยู่ข้างแผงดูดวงนั้นเงียบๆ ราวกับว่ากำลังรอนักพรตหนุ่มด้วยความอดทน
ความสงสารเวทนาที่มีอยู่น้อยนิดของนักพรตเฒ่าหายวับไปทันที พอหันมามองมองนักพรตหนุ่มที่มีโชคขี้หมาอีกครั้งก็พลันรู้สึกขัดหูขัดตามากขึ้นเป็นเท่าตัว
นักพรตหนุ่มเอ่ยขอบคุณและกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่แผงของตัวเอง “ทำไม จะมาเสี่ยงเซียมซีหรือมาดูดวง?”
บุรุษนั่งลงบนม้านั่ง ส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เสี่ยงเซียมซีแล้วก็ไม่ดูดวงด้วย จะอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นหรอก”
บุรุษมองมาทางนักพรตหนุ่ม ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ยังยกมือทำท่าคารวะคนอื่นเป็นครั้งแรกในชีวิต เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคือกษัตริย์ในโลกมนุษย์ ตามหลักมารยาทของใต้หล้าไพศาลแล้ว ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้กับเทพเซียนคนใด เจินเหรินเจ้าลัทธิมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนของต้าหลีเรา ข้าทั้งไม่จำเป็นต้องคุกเข่าคำนับ แล้วก็ไม่ต้องกุมมือคารวะตามหลักของลัทธิขงจื๊อ เพียงแค่มองเป็นการพบปะกันอย่างผิวเผินในยุทธภพครั้งหนึ่งเท่านั้น ข้าบังอาจใช้วิธีของคนในยุทธภพมาคำนับเจ้าลัทธิลู่ ก็หวังว่าเจ้าลัทธิลู่จะไม่ถือสา”
ลู่เฉินถามยิ้มๆ “แปลกใจจริง เจ้าเป็นฮ่องเต้ ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่าเราหรือกว่าเหริน?”
บุรุษยิ้มเจื่อน “เจินเหรินอยู่ตรงหน้า ข้ามิกล้าจริงๆ”
ลู่เฉินเอ่ยเย้า “ข้าผู้เป็นนักพรตยังนึกว่าฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคือชายชาตรีที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน ตอนนั้นที่อาเหลียงบุกไปสังหารถึงหน้าหอป๋ายอวี้ในวังหลวงพวกเจ้า เจ้าก็ใจกล้าไม่น้อย ถึงขนาดไม่ยอมคุกเข่าให้เขา ตอนนั้นข้าผู้เป็นนักพรตชมงิ้วอยู่ไกลๆ จากในแคว้นหนันเจี้ยนยังอดเสียวสันหลังแทนเจ้าไม่ได้”
ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยหยันตัวเอง “หากคุกเข่า พลังทั้งหมดที่บรรพบุรุษสกุลซ่งต้าหลีสั่งสมมาย่อมพังครืนลง ข้าจะคุกเข่าได้อย่างไร? ดังนั้นต่อให้ตายก็คุกเข่าไม่ได้”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “เจ้ามากระดิกหางประจบเอาใจข้าผู้เป็นนักพรตด้วยเรื่องที่สร้างหอป๋ายอวี้โดยพลการ หรือว่ามาซักไซ้เอาผิดเรื่องที่นักพรตตระกูลลู่เล่นงานเจ้า?”
ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวยิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อย่างแรกไม่คิดจะทำ อย่างที่สองไม่มีความกล้าจะทำ เดิมทีข้าก็จำเป็นต้องมาปรากฎตัวที่นี่ด้วยตัวเองเรื่องแต่งตั้งขุนเขาเหนือของต้าหลีอยู่แล้ว อันที่จริงระหว่างที่เดินทางมาสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตส่งข่าวไปเกลี้ยกล่อมข้าว่า ทางที่ดีที่สุดอย่ามาปรากฎตัวต่อหน้าเจินเหรินเจ้าลัทธิ ท่านราชครูเองก็คิดแบบเดียวกัน คนทั้งสองพูดตรงอย่างมาก ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะราชครูต้าหลีของพวกเราท่านนั้นที่รู้นิสัยข้าดีที่สุด เขากลัวว่าเมื่อไหแตกแล้วข้าจะทุบมันให้ละเอียด จนสุดท้ายกลายเป็นว่าล่วงเกินเจินเหรินเจ้าลัทธิ”
ลู่เฉินมองประเมินฮ่องเต้ต้าหลีที่มีสภาพเหมือนคนป่วยเกินเยียวยาแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าผู้เป็นนักพรตสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง หมัดนั้นของอาเหลียงต่อยสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหัก แม้จะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากชะตากรรมของหุ่นเชิด แต่กลับทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เจ้าซาบซึ้งใจหรือเกลียดแค้นเขากันแน่?”
ฮ่องเต้ต้าหลีตอบตามสัตย์จริง “รู้สึกทั้งสองอย่าง ถึงขั้นที่บอกไม่ได้ด้วยว่าซาบซึ้งใจหรือเคียดแค้นมากกว่ากัน ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งที่พันธนาการกษัตริย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางไม่อาจรับหน้าที่เป็นกษัตริย์ของหนึ่งแคว้นได้ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างก็ไม่อาจนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเกินหกสิบปี บวกกับที่คนเป็นฮ่องเต้ไม่เหมาะจะฝึกตนมาตั้งแต่เกิดแล้ว ดังนั้นข้าในเวลานั้นจึงทนต่อคำล่อลวงไม่ได้ พอถูกอาจารย์สกุลลู่ที่ช่วยสร้างหอป๋ายอวี้ปลุกปั่นจึงเดินไปบนเส้นทางลัดนอกรีต แอบฝึกตนจนถึงขอบเขตสิบ เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว เพราะข้าอยากได้ยินเสียงกีบม้าของต้าหลีควบตะบึงอยู่บนชายหาดทะเลทักษิณนอกนครมังกรเฒ่ากับหูตัวเองมากเกินไป”
ฮ่องเต้ต้าหลีกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมามีชีวิตชีวา เหมือนคนป่วยใกล้ตายที่มีสีหน้าสดใสเป็นครั้งสุดท้าย “หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าเชื่อว่าเสียงนั้นต้องดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิแน่นอน!”
ลู่เฉินไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ “เจ้าสามารถจัดการเรื่องในบ้านของตัวเองในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ อีกทั้งยังมีกำลังใจปฏิเสธสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ถือว่าไม่ง่ายเลย แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับการที่สายหลักสำนักโม่เลือกผูกติดกับราชวงศ์ต้าหลีของพวกเจ้าด้วย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตฮ่องเต้ของเจ้าก็ช่าง…ลุ่มๆ ดอนๆ ยิ่งนัก”
ฮ่องเต้ต้าหลีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร แม้ว่าเมื่อใดที่เซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ซับซ้อนที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้ แต่นักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้านี้ไม่ใช่เซียนตามความหมายทั่วไป
การที่ฮ่องเต้ต้าหลียืนกรานจะมาเมืองเล็กเพื่อพบหน้านักพรต ‘หนุ่ม’ ด้วยตัวเองสักครั้ง ก็เพราะความเคารพยำเกรงและเลื่อมใสที่มีอยู่ในใจ นี่เป็นความรู้สึกที่เรียบง่ายและบริสุทธิ์ที่สุด
เงยหน้ามองภูเขาสูง เจริญรอยตามคุณธรรมความประพฤติของนักปราชญ์ แม้จะปฏิบัติตามไม่ได้ทั้งหมด แต่ใจก็ฝันใฝ่ว่าจะไปให้ถึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!