กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 206

กระบี่จงมา – บทที่ 206.2 พระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์กลม
บทที่ 206.2 พระจันทร์เสี้ยว พระจันทร์กลม
โดย
ProjectZyphon
เทศกาลโคมไฟเมืองหลวงต้าสุย ทั่วทั้งเมืองประดับประดาไปด้วยโคมไฟ ทุกพื้นที่สว่างไสวราวกับตอนกลางวัน

หลายคืนนั้นเหล่าบัณฑิตที่มาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาต่างก็พากันลงจากภูเขามาร่วมงานครึกครื้น พวกนักปราชญ์และอาจารย์ของสำนักศึกษาต่างก็ไม่คัดค้านในเรื่องนี้ คนหนุ่มสาวหากเอาแต่หมกตัวท่องตำราอยู่ในห้องหนังสือย่อมหมดสิ้นซึ่งความมีชีวิตชีวา การถ่ายทอดความรู้ไม่ควรทำเช่นนี้ หากเข้มงวดกวดขันมากเกินไป เมล็ดพันธ์บัณฑิตที่อยู่ในที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ย่อมไม่สามารถแตกหน่อเติบโตกลายมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าได้

หลี่ไหวอยากจะไปเที่ยว สุดท้ายกลายเป็นว่าชวนคนนู้นคนนี้กลับชวนได้แค่อวี๋ลู่คนเดียว หลี่เป่าผิงบอกว่านางไปเดินมาทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองหลวงต้าสุยแล้ว ลงจากภูเขาไปตอนนี้ไม่ใช่ไปดูโคมไฟหรอก เห็นชัดๆ ว่าไปดูคน น่าเบื่อ อีกอย่างนางติดค้างบทความที่อาจารย์สั่งลงโทษอยู่หลายบท นางต้องเปิดศึกทำการบ้านหามรุ่งหามค่ำ!

หลินโส่วอีบอกว่าเขาจะไปอ่านหนังสือในหอเก็บหนังสือต่อ ตอนนี้เซี่ยเซี่ยกลายเป็นเซี่ยหลิงเยว่แล้ว แถมยังกลายมาเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของชุยตงซานเต็มตัว กลายเป็นว่ามีโชควาสนาสูงส่ง ได้ครอบครองสมบัติอาคมกองใหญ่ซึ่งมีเพียงเทพเซียนเท่านั้นถึงจะใช้ได้ หลี่ไหวตอแยไม่เลิก เซี่ยเซี่ยจึงต้องเอาออกมาให้เขาได้เห็น หลี่ไหวได้เห็นแล้วก็รู้สึกว่าแล้วยังไงล่ะ ยังน่ารักสู้หุ่นไม้หลากสีของตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่เห็นจะอิจฉาเลยสักนิด เซี่ยเซี่ยบอกว่าคืนนั้นต้องฝึกตน ไม่อาจไปร่วมงานโคมไฟเป็นเพื่อนหลี่ไหวได้

มาถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงอวี๋ลู่ที่พูดง่ายที่สุดและว่างงานมากที่สุดเท่านั้นที่ลงจากภูเขาไปเป็นเพื่อนหลี่ไหว

ผลกลับกลายเป็นว่าไปเจอเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยที่ตีนเขา คนทั้งสามจึงจับกลุ่มไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้เกาเซวียนก็มักจะมาเดินเล่นที่สำนักศึกษาซานหยาเป็นประจำอยู่แล้ว คุยกันไปคุยกันมา เกาเซวียนตามความคิดของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงไม่ทันจริงๆ ส่วนหลินโส่วอีก็มีนิสัยเย็นชา ฝ่ายเซี่ยเซี่ยมักจะถูก ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ ผู้นั้นเรียกตัวไปยกชาส่งน้ำ ซักผ้ากวาดพื้นให้เป็นประจำ ไม่เหมือนสิ่งที่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนสมควรได้รับแม้แต่น้อย นางยังเทียบกับสาวใช้คนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเกาเซวียนจึงสนิทกับอวี๋ลู่มากที่สุด และมักจะไปตกปลากับอวี๋ลู่ที่ริมทะเลสาบอยู่บ่อยครั้ง

เทศกาลโคมไฟของต้าสุยนี้ ทั้งกษัตริย์และขุนนางต่างก็ร่วมกันเฉลิมฉลอง ผู้คนทั่วหล้ามีความสุขร่วมกัน

เพื่อเทศกาลครั้งนี้หลี่ไหวยังปักปิ่นหยกดำที่สลักคำว่า ‘ไหวอิน’ เป็นพิเศษด้วย เวลาเดินก็ยืดอกสูง เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

อวี๋ลู่และเกาเซวียนเดินประกบซ้ายขวาข้างกายหลี่ไหว ไม่ได้กลัวว่าจะมีใครกล้ามารังแกหลี่ไหวอีก แต่เป็นเพราะเจ้าลูกหมาน้อยหลี่ไหวผู้นี้เหมือนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะที่ประหลาดอย่างยิ่ง บ้านนอกก็ส่วนบ้านนอก แต่กลับโชคดีอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ที่สามารถทำให้คนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตรัชทายาทสกุลหลู และอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นองค์ชายสกุลหงของต้าสุยในปัจจุบันมาเป็นผู้คุ้มกันให้เขาได้

การมาเที่ยวงานโคมไฟของหลี่ไหวในครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว

ในหอหนังสือของสำนักศึกษาซานหยา หลินโส่วอีที่จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำพลันรู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง วางหนังสือลง เดินไปที่หน้าต่าง คิดถึงดรุณีน้อยผู้อ่อนโยนน่าประทับใจดุจกิ่งหยางกิ่งหลิวที่พลิ้วไหวไปตามสายลม

หลินโส่วอีบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่าต้องตั้งใจเล่าเรียน ตั้งใจฝึกตน วันหน้า…

พอนึกถึงภาพที่งดงามบางอย่าง หลินโส่วอีที่เวลาปกติไม่ชอบยิ้ม ทั้งยังสุขุมพูดน้อยกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น

เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลายิ่งดูหล่อเหลามากกว่าเดิม

ในหอพักของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็มีแสงตะเกียงส่องสว่างเช่นกัน เพียงแต่ว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้ว นางยังต้องคัดหนังสือด้วย หลังจากเอาพู่กันจุ่มหมึกจนชุ่ม หลี่เป่าผิงที่สีหน้าเคร่งเครียดก็ชูแขนข้างที่ถือพู่กันขึ้นสูง ร้องตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งก็เริ่มลงมืออย่างรวดเร็วดุดันดุจสายฟ้าที่แลบปลาบ! ฟั่บๆๆ สามารถเขียนตัวอักษรแบบบรรจงได้เร็วดุจสายฟ้าขนาดนี้ก็ถือว่ามีฝีมือแล้ว แค่มองก็รู้ว่าคัดบ่อยจนเกิดเป็นความเคยชิน หลังเขียนจนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ นางก็โยนไปไว้ด้านข้าง พูดในใจตัวเองว่า “เจ้าถอยไป”

อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รับผิดชอบเดินตรวจตราสำนักศึกษาในคืนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าต่าง พอเห็นภาพนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี ทั้งระอาใจทั้งสงสาร อาจารย์ผู้เฒ่าคือหนึ่งในอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับแม่นางน้อย เขาหมุนกายจากไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ได้รบกวนเวลาคัดหนังสือทำการบ้านของแม่นางน้อย เพียงแต่ผู้เฒ่าคิดว่าหลังจากนี้ควรให้เป่าผิงน้อยคัดหนังสือให้น้อยลงหน่อยดีหรือไม่?

เหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขากำลังศึกษาศิลปะการเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องของตัวเองเงียบๆ อันที่จริงใช้ชีวิตระหกระเหินมานานหลายปีขนาดนี้ หนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผู้เฒ่าเกลียดตัวเองมากที่สุดก็คือตัดใจละทิ้งงานอดิเรกนี้ไม่ลง มีหลายครั้งที่พยายามจะเลิกอาการเสพติดหมากล้อม แต่ทุกครั้งหากเห็นใครเล่นหมากล้อมโดยบังเอิญก็มักจะขยับเท้าหนีไม่ได้ ต้องยืนชมศึกอยู่ข้างๆ และยิ่งดูก็จะยิ่งไม่สบอารมณ์ แอบด่าอยู่ในใจว่าฝีมือห่วยแตกซะจริง และหากได้เห็นคนมีฝีมือก็จะยิ่งคันยิบๆ อยู่ในใจ มีครั้งหนึ่งอดไม่ไหวถึงขนาดกลับมาเล่นทวนกับตัวเองใหม่ทั้งกระดาน จากนั้นก็ด่าตัวเองว่าไม่หนักแน่นมากพอพลางวางหมากอย่างอารมณ์ดีไปด้วย สหายที่เล่นหมากล้อมด้วยกันมาหลายปีมักจะเอาเรื่องนี้มาล้อเขา เรียกการพยายามเลิกเล่นหมากล้อมของเหมาเสี่ยวตงว่า ‘ปิดด่าน’ พอเขากลับมาเล่นใหม่อีกครั้งก็เรียกว่า ‘ออกจากด่าน’

คืนนี้เหมาเสี่ยวตงปฏิเสธคำเชิญจากฮ่องเต้ ไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงชมโคมไฟต้นไม้เพลิงบุปผาเงินที่วังหลวง แต่นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเองเงียบๆ

การเล่นหมากล้อมของผู้เฒ่าได้เจ้าสารเลวแซ่ชุยบางคนเป็นผู้สอน ที่น่าโมโหยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน ตามหาสุดยอดตำราหมากล้อม ประลองฝีมือกับนักเล่นหมากล้อมระดับชาติ ศึกษาหลักการเล่นหมากล้อมของแต่ละพรรคแต่ละฝ่าย อะไรที่ทำได้ก็ล้วนทำหมดแล้ว ทว่าพัฒนาการในการเล่นหมากล้อมของเขาก็ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะชุยฉานไม่ได้สักที

ผู้เฒ่าเก็บตำราหมากล้อมและกระดานหมากล้อม ปลดไม้บรรทัดตรงเอวมาถูไว้ในมืออย่างเชื่องช้า

ก่อนหน้านี้ชุยฉานแห่งสำนักศึกษาที่ปรากฏตัวด้วยเรือนกายของเด็กหนุ่มได้มาพูดคุยกับเขาแล้วหนึ่งรอบ จากนั้นก็ไปคุยกับฮ่องเต้ต้าหลีมาหนึ่งรอบ สุดท้ายไปคุยกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดที่เป็นนักเล่านิทานมาหนึ่งรอบ ตอนที่มาหาเหมาเสี่ยวตง ผู้เฒ่าโน้มน้าวเขาว่าอย่าได้คิดหวังเพ้อเจ้อ เปิดเผยตัวตนเร็วขนาดนี้ระวังจะตายอยู่ในเมืองหลวงต้าสุย ถึงเวลานั้นจะลากเอาสำนักศึกษาซานหยาติดร่างแหไปด้วย เหมาเสี่ยวตงพูดตรงมาก หากต้าสุยเข้าใจผิดนึกว่าสำนักศึกษาซานหยามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงจะเป็นคนแรกที่ลงมือฆ่าคน บดขยี้ราชครูต้าหลีผู้นี้ให้เละอยู่ในต้าสุย

เหมาสี่ยวตงถอนหายใจ “เหตุใดบัณฑิตถึงกลายเป็นพ่อค้าไปได้นะ?”

ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่ง ชุยตงซานเด็กหนุ่มชุดขาวนั่งอยู่ใต้ชายคา ฟังเสียงม้าเหล็กพวงหนึ่งที่เพิ่งเอาไปแขวนไว้ใต้ชายคาส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ใต้ม่านรัตติกาลสุขสงบที่มีลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย

ชุยตงซานหันขวับไปมองเซี่ยเซี่ยเด็กสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง “เจ้ามีปู่ไหม?”

เด็กสาวตะลึงงัน คำถามนี้นางควรจะตอบอย่างไร? หรือว่ามีความลี้ลับซ่อนอยู่? หาไม่แล้วใต้หล้านี้ใครบ้างที่ไม่มีปู่?

นางรู้สึกว่านี่ต้องเป็นหลุมพรางที่ทดสอบจิตใจของนางอย่างแน่นอน และในขณะที่เด็กสาวกำลังใคร่ครวญหาคำพูดที่เหมาะสม ชุยตงซานก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ที่แท้เจ้าเองก็มีปู่เหมือนกันหรือ?”

เซี่ยเซี่ยพูดไม่ออก

เป็นมุขตลกที่แป้กมากเหลือเกิน

สุดท้ายคนทั้งสองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีด้วยกัน

ดวงจันทร์ของเทศกาลไหว้พระจันทร์สุกสกาว คนรวยก็มองเห็น คนยากจนก็มองเห็น

ปลอบประโลมจิตใจคนได้ดียิ่ง

……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!