เจ้าของเรือเรียกให้ชุนสุ่ยกับชิวสือเป็นผู้ช่วยตะโกนบอกราคาให้แก่ภูเขาต่าเจี้ยว
เดิมทีเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอหันไปเห็นโดยบังเอิญว่าชิวสุ่ยยืนถือแผ่นภาพคนละฝั่งกับพี่สาว ชุนสุ่ยยืนอยู่ด้วยท่วงท่าเรียบร้อยสง่างาม แต่เวลาประกาศราคากลับคล่องแคล่วไร้ข้อบกพร่อง ส่วนชิวสุ่ยกลับจ้องเป๋งมาที่เฉินผิงอันโดยไม่ได้ยี่หระกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ พอเห็นสายตาของเขา นางถึงได้เชิดคางขึ้นน้อยๆ เผยสีหน้าเย่อหยิ่งอย่างพึงพอใจ
ราวกับว่าจนกระทั่งบัดนี้ ชิวสุ่ยถึงได้รู้สึกว่าตัวเองทัดเทียมกับเฉินผิงอันแล้ว?
เฉินผิงอันไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กสาวเท่าไหร่นัก จึงวางความสนใจไว้ที่กระดาษขาวลอกลายเหล่านั้น การลอกลายสิบครั้ง ยิ่งเป็นช่วงหลัง ปราณวิญญาณก็ยิ่งบางเบา ภาพเหตุการณ์ก็ยิ่งพร่าเลือน แผ่นสุดท้ายชมได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าราคาต้องต่ำมาก แค่ต้องจ่ายด้วยหยกเกล็ดหิมะสามสิบอีแปะเท่านั้น
หยกโบราณที่นำมาทำเป็นเหรียญเงิน มีชื่อว่าหยกเกล็ดหิมะ เป็นหยกที่มีเฉพาะในธวัลทวีปของทางทิศเหนือ หลักๆ แล้วกระจายอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลสองแห่ง เมื่อนำ ‘เหรียญทองแดง’ ที่เป็นที่นิยมบนภูเขาชนิดนี้มาวางไว้ใต้แสงแดดจะสามารถสะท้อนให้เห็นประกายแสงแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าเงินหิมะน้อย ด้านบนสลักสี่ตัวอักษรว่า ‘นิมิตแห่งพืชผลอุดมสมบูรณ์’ ด้านหลังสลักอีกสี่คำว่า ‘ที่ดินศักดินาหิมะน้อย’
เพราะปริมาณการผลิตของหยกเกล็ดหิมะมีจำนวนมหาศาล อีกทั้งจำนวนลมปราณที่แฝงเร้นอยู่ด้านในก็ไม่ธรรมดา ท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน เงินเกล็ดหิมะนี้จึงค่อยๆ กลายมาเป็นเหรียญเงินที่ใช้ร่วมกันบนภูเขาของเก้าทวีป เป็นที่นิยมแพร่หลาย เป็นวัตถุที่ผู้ฝึกลมปราณระดับล่างหรือระดับกึ่งกลางภูเขาต้องเตรียมไว้เวลาออกนอกบ้าน แน่นอนว่าเงินเกล็ดหิมะสามารถนำมาแลกเป็นเงินหรือทองที่พวกชาวบ้านใช้กันได้ แต่เงินหรือทองนั้นกลับไม่แน่เสมอไปว่าจะนำมาแลกเป็นเงินเกล็ดหิมะได้
หลักการนั้นง่ายมาก ขุนนางชนชั้นสูงหรือกองกำลังตามพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างภูเขาย่อมไม่สามารถส่งเงินเป็นรถม้าคันแล้วคันเล่าให้กับเทพเซียนบนภูเขา ทั้งไม่สะดวกและสะดุดตาเกินไป หากคิดจะมอบเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกล่อง จำเป็นต้องพิถีพิถันอย่างมาก หากกล่องที่ใช้บรรจุเงินสามารถพิถีพิถันได้ยิ่งกว่า เลือกใช้วัตถุดิบไม้งดงามแปลกตาก็จะยิ่งดูสง่างามมากขึ้น
เฉินผิงอันกัดฟันซื้อม้วนภาพกระดาษขาวแผ่นสุดท้ายมาด้วยเงินหิมะน้อยสามสิบอีแปะ เพราะเป็นภาพสุดท้าย เจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงนำมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ชิวสือไม่หนักแน่นสำรวมเหมือนชุนสุ่ยผู้เป็นพี่สาว สำหรับเจ้าของเรือผู้นี้นางเองก็ไม่ได้ให้ความเคารพนับถือสักเท่าไหร่ นางจึงคอยพูดจ้อล้อมหน้าล้อมหลังเขาเหมือนนกขมิ้นตัวหนึ่ง
ยังดีที่เจ้าของเรือเห็นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้เติบโตมาตั้งแต่เด็ก บวกกับที่พรสวรรค์ของชิวสือดีกว่าชุนสุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ดังนั้นเจ้าของเรือภูเขาต่าเจี้ยวจึงค่อนข้างมีความอดทนกับชิวสืออย่างมาก นี่เรียกว่าปล่อยสายเบ็ดยาวหวังตกปลาตัวใหญ่ มีชีวิตหากินอยู่บนภูเขา สายตาจึงมองได้ยาวไกล ไม่เพียงแต่เห็นแค่สิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ในกระทะ แต่อาจจะเห็นไปถึงในที่นาเลยก็เป็นได้
หลังจากมือหนึ่งรับเงินมือหนึ่งส่งสินค้าแล้ว เจ้าของเรือก็หยอกเย้าชิวสือโดยการหยิบหลีไฟลูกหนึ่งที่อยู่ในถาดผลไม้บนโต๊ะข้างเก้าอี้จื่อถานส่งให้กับสาวใช้ผู้นี้แล้วจึงจากไป เฉินผิงอันไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ทว่าชิวสือถลึงตาใส่แรงๆ ใส่เขาหนึ่งครั้ง ที่แท้หลีไฟลูกนั้นก็คือส่วนแบ่งที่ชิวสือได้มาจากการช่วยขายภาพวาดหนึ่งภาพ เพียงแต่ว่าหลังจากถลึงตาเสร็จแล้ว ชิวสือก็หัวเราะคิกคักอยู่กับตัวเอง ชูหลีไฟในมือขึ้นแกว่งให้พี่สาวดูด้วยท่าทางลำพองใจ
ชีวิตคนไม่มีอะไรที่แน่นอน มีพบแล้วก็ต้องมีจาก
หลังศึกใหญ่ระหว่างสวมลมฟ้ากับภูเขาตะวันเที่ยงปิดฉากลง เฉินผิงอันก็แยกกับนักพรตฝ่ายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์ กลับไปที่ห้องอักษรตัวเทียนพร้อมกับชุนสุ่ยและชิวสือ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แต่เมื่อเรือคุนลำนี้ค่อยๆ ลงจอดเหนือน่านฟ้าในอาณาเขตของแคว้นหนันเจี้ยนก็กลายเป็นว่าเฉินผิงอันกับนักพรตจางซานได้พบกันโดยบังเอิญอีกครั้ง พวกเขาเลือกลงเรือที่นี่ คู่สาวใช้ชุนสุ่ยชิวสือโบกมืออำลา นับแต่นี้แยกจากกันอยู่คนละฟ้าดิน
ท่าเรือของแคว้นหนันเจี้ยนสร้างอยู่บนเขตชายแดนที่เชื่อมติดระหว่างสองแคว้น คือแคว้นหนันเจี้ยนกับแคว้นกู่อวี๋ ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง
เมื่อเทียบกับภูเขาอู๋ถงในหลงเฉวียนต้าหลีที่เพิ่งถูกบุกเบิกแล้ว ท่าเรือแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ามาก สามารถจอดเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวได้พร้อมกันถึงห้าลำ
แยกจากกับชุนสุ่ยและชิวสือ ไม่ถึงขั้นรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงเวลาที่ผ่านมา เฉินผิงอันทำหน้าหนาไปขอผลไม้จำนวนมากมาจากภูเขาต่าเจี้ยว ด้วยเหตุนี้เด็กสาวสองคนจึงได้พึ่งใบบุญของเขาไปด้วย ตอนหลังภูเขาต่าเจี้ยวเริ่มนินทาเด็กหนุ่มจากต้าหลีผู้นี้ บ้างก็ว่าเขาสายตาตื้นเขิน ไม่เคยเห็นโลกกว้าง เป็นคนที่ชอบฉกฉวยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ต่อให้เฉินผิงอันรู้ก็ไม่มีทางสนใจ กลับเป็นชิวสือเสียอีกที่ได้ยินคำพูดมีนัยซ่อนแฝงเหล่านั้นแล้วไม่สบอารมณ์ สุดท้ายจึงกลายเป็นชุนสุ่ยที่ไปขอผลไม้จากห้องครัวของเรือคุนมาแทน
ตอนที่เฉินผิงอันลงจากเรือได้เอาแกนผลไม้และเปลือกผลไม้ไปด้วยเป็นจำนวนมาก
เพราะคนที่ลงเรือที่แคว้นหนันเจี้ยนมีไม่มาก ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันจึงได้เจอกับนักพรตกระบี่ไม้ท้อแล้วเลือกจับคู่เดินทางไปด้วยกัน
รั้วตรงหัวเรือ ชิวสือแค่นเสียงเย็น “พี่สาว ท่านดูเจ้าหมอนั่นสิ ลงเรือไปแล้วก็ไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ต้องจากลาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังคิดถึงโลกคาวโลกีย์ด้านล่างภูเขาอยู่ก็ได้”
ชุนสุ่ยกล่าวอย่างจนใจ “ขนาดหอซิ่งฮวาคุณชายเฉินยังไม่สนใจ จะไปมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นได้อย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อยว่า เหล่าขุนนางระดับสูง คุณชายสูงศักดิ์ทั้งหลายที่เห็นเรื่องราวในโลกมาจนเคยชิน พอมาถึงเรือคุณ เข้าไปในหอซิ่งฮวาก็ล้วนเพลิดเพลินจนลืมทางกลับบ้าน เพราะอย่างไรซะผู้หญิงในหอที่ช่างเอาอกเอาใจพวกเขาเก่งก็ถือเป็นเทพธิดาในสายตาของมนุษย์โลก พอดื่มเหล้าเมามายแล้ว บุรุษพวกนั้นต่างก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนออกมาจนหมดสิ้น เฮ้อ หากผู้ชายล่างภูเขาเป็นเหมือนคุณชายเฉินทั้งหมดก็คงดีน่ะสิ”
ชิวสือกลับไม่เห็นด้วยนัก “นั่นเป็นเพราะเฉินผิงอันอายุยังน้อย วันหน้าก็อาจกลายเป็นคนเลวร้ายที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมม ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่ขึ้นเรือมา เฉินผิงอันอาจจะกลายเป็นคนปลิ้นปล้อนกลับกลอก ลงไม้ลงมือกับพวกเราก็ได้”
ชุนสุ่ยหรี่ตาชำเลืองมองถุงปักลายงดงามตรงเอวของน้องสาว “เจ้าคิดแบบนี้จริงหรือ?”
ชิวสือพลันหันขวับกลับมา แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นบนทะเลสาบ
ชุนสุ่ยมองไปถึงได้พบว่าเฉินผิงอันกำลังกุมมือคารวะบอกลาพวกนางสองพี่น้อง ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวยุทธ์ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวซึ่งมุมานะในการฝึกวิชาหมัด
ชุนสุ่ยรีบยกมือขึ้นโบกลา
รอจนเฉินผิงอันหมุนกายจากไปแล้ว ชิวสือถึงได้หันกลับมาด้วยท่าทางแง่งอน ชุนสุ่ยจึงเอ่ยเย้าว่า “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร อยู่ห่างจากเขาตั้งไกลขนาดนี้ บอกลาอย่างมีมารยาทไม่ทำให้เจ้าเสียเนื้อไปสักหน่อย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!