นักพรตหนุ่มใช้สองนิ้วคีบกระดาษยันต์ ปากท่องคาถาเบาๆ จากนั้นก็พลันใช้ฝ่ามือของมือข้างที่เปียกโชกแนบติดกับยันต์อย่างรวดเร็ว ยันต์สีเหลืองติดไฟลุกไหม้ขึ้นกลางฝ่ามือของจางซาน เพียงไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่าน นักพรตหนุ่มสีหน้าหนักอึ้ง ปัดขี้เถ้าทิ้งลงไปในกระถางไฟ
เฉินผิงอันเอยถาม “ยันต์แผ่นนี้ ราคาเท่าไหร่?”
จางซานตอบคำถามอย่างจริงจังโดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกประหลาดตรงไหน “ยันต์ประเภทนี้ไม่เข้าขั้นมาตรฐานอะไรทั้งนั้น หลักการเดียวกับขุนนางผู้น้อยในวงการขุนนางที่ไม่มีระดับขั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีราคาถูกมาก ต้นทุนก็มีแค่กระดาษเหลืองแผ่นเดียว บวกกับลายมือเขียนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่งเท่านั้น เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อยันต์เผาความชั่วร้ายได้เกือบสามสิบแผ่น หากคิดเป็นเงินก้อนก็แผ่นล่ะประมาณสามตำลึง ไม่ถือว่าแพงจริงๆ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
สำหรับเรื่องการเขียนยันต์นี้ เขาเคยเห็นความลี้ลับของยันต์ทำลายอาคมมากับตาตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาที่เดินทางอยู่บนทางภูเขาถูกผีสาวสวมชุดแต่งงานกลั่นแกล้ง ทุกคนจึงเดินกันอยู่บน ‘เส้นทางสู่น้ำพุเหลือง’ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายคล้ายถูกผีบังตา หลินโส่วอีจึงควบคุมยันต์ทำลายอาคมแผ่นหนึ่งซึ่งถือเป็นยันต์ภูเขาและแม่น้ำชักนำให้ทุกคนเดินทาง
หลังจากนั้นตอนอยู่ในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว หลี่ซีเซิ่งก็วาดยันต์ ‘ตัวอักษร’ ไว้บนผนังของเรือนไม้ไผ่ เมื่อเขียนตัวอักษรสำเร็จก็กลายเป็นยันต์ ซึ่งอันที่จริงแล้วถือว่าต้องใช้ความรู้ความสามารถและขอบเขตที่สูงอย่างถึงที่สุด สุดท้ายเขาไหว้วานให้ชุยชื่อเด็กรับใช้นำตำราพื้นฐานการเขียนยันต์ของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่ง รวมถึงกระดาษยันต์ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันอีกปึกใหญ่มามอบให้เฉินผิงอัน แน่นอนว่ายังมีพู่กัน ‘เหล็กหมาดลมหิมะ’ เล่มนั้นด้วย และหากเฉินผิงอันรีบร้อนต้องการเขียนยันต์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หมึก เพียงแค่เป่าลมใส่ปลายพู่กันก็สามารถทำให้พู่กันชุ่มชื้นได้แล้ว
แต่เฉินผิงอันพลิกอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มบางๆ นั้นอย่างละเอียดอยู่หลายรอบ พอจะเรียนรู้การเขียนยันต์แบบที่ตื้นเขินที่สุดห้าหกชนิดซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ อีกอย่างตามที่ในตำราบอกไว้ ยันต์ที่คนในโลกนี้วาดก็คือการ ‘เขียนตำราสีชาด’ แบ่งออกเป็นเก้าชนิด ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนจะเขียนตำราสีชาด ‘สามชนิดบน’ อย่างหนึ่งสองสาม ส่วนผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็จะเขียนตำราสีชาดสามชนิดกลางอย่างสี่ห้าหก ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างเขียนตำราสีชาดสามชนิดล่างอย่างเจ็ดแปดเก้า แม้เฉินผิงอันจะไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่ก็สามารถอาศัย ‘ลมปราณหนึ่งเฮือก’ จากการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเขียนยันต์พื้นฐานใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ได้ หากเป็นยันต์ระดับสูงยิ่งกว่านั้น สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้ถือเป็นการเพ้อฝันเกินไป
หลี่ซีเซิ่งเคยบอกว่า การเขียนยันต์ก็คือการฝึกกระบี่ นี่ก็คือเจตนาเดิมที่หลี่ซีเซิ่งไม่ได้สอนความรู้เรื่องการตกปลา แต่สอนวิธีตกปลาให้กับเฉินผิงอัน
ทว่าตลอดเส้นทางการเดินทางลงใต้ของเฉินผิงอัน เขาก็ยังหวังว่าจะทุ่มเทสมาธิให้กับการฝึกหมัด จึงทำเพียงแค่ใช้เวลาว่างหัดเขียนยันต์สามชนิด ได้แก่ยันต์ย่อพื้นที่ ยันต์ปราณหยางส่องไฟและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้อย่างละสองสามแผ่น เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด
ยันต์ย่อพื้นที่สามารถช่วยให้เฉินผิงอันย่อพื้นที่ให้เล็กลงได้ในชั่วพริบตา เพียงก้าวเดียวก็สามารถออกไปยังพื้นที่ใดก็ได้ในรัศมีสิบจั้งรอบด้าน ยันต์ปราณหยางส่องไฟก็คือยันต์ภูเขาและแม่น้ำทำลายอาคมชนิดหนึ่ง หากไปอยู่ในสุสานรกร้างหรือโบราณสถานแห่งต่างๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์ผีบังตาอีกครั้งก็สามารถเดินตามยันต์ส่องไฟออกไปจากเวทพรางตาได้อย่างราบรื่น ส่วนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจนั้นคือยันต์ชนิดที่มีพลังการทำลายล้างค่อนข้างสูง เมื่อนำยันต์ชนิดนี้ออกมาใช้ก็จะมีเจดีย์วิเศษขนาดจิ๋วแห่งหนึ่งปรากฎขึ้นกลางอากาศ จับปีศาจขังไว้ข้างใน ด้านในมีอานุภาพจากสายฟ้าคอยโบยตีจิตวิญญาณของปีศาจ
ทั้งสามชนิดนี้ต่างก็มีบันทึกอยู่ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อยู่ในขอบเขตที่ธรรมดามากที่สุด คำประเมินเกี่ยวกับมันไม่สูงมากนัก เพียงแต่เพราะพวกมันเป็นต้นฉบับดั้งเดิมของยันต์บางประเภทถึงได้ถูกบันทึกไว้ในตำราเล่มนี้
นักพรตจางซานดื่มเหล้าเข้าไป เดิมทีเขาก็กินเหล้าไม่เก่งอยู่แล้ว บวกกับที่ก่อนหน้านี้ต้องการประหยัดยาหยางกลับคืนจึงถูกน้ำฝนที่หนาหนักอึมครึมกระทบร่างมาตลอดทาง เหนื่อยล้ามานานแล้ว แม้ว่าใจคิดอยากจะช่วยเฉินผิงอันเฝ้ายาม แต่กลับสะลึมสะลือหลับสนิทไปซะแล้ว
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการเฝ้ายามดียิ่ง เขาจิบเหล้าคำเล็กๆ ขณะที่จางซานหลับสนิทไปแล้ว เขาพลันหันขวับไปมองมุมกำแพงข้างประตู
ตรงนั้นวางร่มกันฝนที่ถูกวางเอียงๆ ซึ่งเจ้าของลืมเอาไว้
ร่มกระดาษน้ำมันคันนี้ ตอนแรกถืออยู่ในมือของบัณฑิตแซ่หลิว พอเข้ามาในเรือนแห่งนี้ บัณฑิตแซ่ฉู่เป็นคนถือเอาไว้
ร่มวางพิงอยู่ตรงมุมกำแพงนิ่งๆ ปลายร่มทิ่มลงพื้น ด้ามร่มหงายขึ้นด้านบน
ต่อให้จะวางร่มไว้อย่างนี้ แต่บนพื้นกลับไม่มีคราบน้ำเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ปกติ
อีกอย่างเฉินผิงอันยังสัมผัสได้ถึงปราณที่เยียบเย็นเสี้ยวหนึ่งซึ่งทำให้คนเสียวสันหลังวาบ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน เดินโซเซไปมาคล้ายคนที่ดื่มเหล้าจนเมามาย เดินไปด้วยบ่นไปด้วย “มีใครเขาวางร่มหัวทิ่มแบบนี้บ้าง หากอยู่ที่บ้านเกิด กล้าทำแบบนี้ต้องถูกพวกผู้ใหญ่ด่าตายแน่…”
เดินมาถึงมุมกำแพง เฉินผิงอันยังเรอดังเอิ้กหนึ่งที ยื่นมือไปคว้าด้ามร่มเตรียมจะวางสลับกลับด้าน เพียงแต่ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นยันต์แผ่นหนึ่งกลับไหลพรวดออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา สีหน้าของเฉินเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ไหนเลยจะเหลือความเมามายอยู่อีก นิ้วทั้งสองคีบยันต์กระดาษเหลืองซึ่งก็คือยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้นไว้อย่างรวดเร็ว แล้วตบลงบนด้ามร่ม เจดีย์แก้วเจ็ดสีหลังหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ รัศมีศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมไปทั่วร่มกระดาษน้ำมันอย่างพอดิบพอดี ลวดลายบนผิวร่มบิดเบือน ส่งเสียงดังฉี่ๆ เป็นระลอกราวกับเสียงเนื้อที่ผัดอยู่ในกระทะ
แสงสว่างของเจดีย์วิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันหม่นมัว เพียงไม่นานก็สลายหายไป
เฉินผิงอันไม่ยอมเลิกรา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดโอกาสอันดีเนื่องจากฝีมือของตนไม่แกร่งกล้ามากพอหรือระดับของยันต์ต่ำเกินไป จึงเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจอีกสองแผ่นที่เหลือออกมาพร้อมกัน แล้วแปะติดลงบนผิวร่มกระดาษน้ำมันด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบ จากนั้นไม่จำเป็นต้องรวบรวมลมปราณ เฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตสามขั้นสูงสุดก็สามารถโคจรลมปราณได้ตามใจปรารถนา ปณิธานหมัดระเบิดตูมออกมา ปล่อยหมัดรัวติดกันบนยันต์สยบปีศาจสามแผ่นในระยะประชิดด้วยพลังการทำลายล้างสูงสุด พายุหมัดไม่สามารถทำลายตัวร่มได้ แต่ปณิธานแห่งหมัดกลับไหลกรากแทรกซึมเข้าไปด้านในของร่มทั้งหมด
นี่ก็คือความต่างราวฟ้ากับเหวระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามทั่วไปกับขอบเขตสามที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนสอน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!