ส่วนกระบี่บินสืออู่ที่แลกมาจากหยางเหล่าโถว พลังอำนาจจะแตกต่างไปเล็กน้อย ปณิธานกระบี่ค่อนข้างจะชื่นชอบความเงียบสงบ เวลาเคลื่อนไหวในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะเป็นการบินไปบินมาด้วยความเร็วสูงสุด ทุกครั้งที่ใกล้จะชนกับผนังด้านในของน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็มักจะหยุดกะหันทันในขณะที่ห่างจากผนังแค่เสี้ยวเดียว แตกต่างจากชูอีที่พุ่งชนด้านในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เหมือนคลุ้มคลั่งอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงค่อนข้างจะมั่นใจว่าเสี่ยวเฟิงตู หรือกระบี่บินสีขาวที่ถูกเขาตั้งชื่อว่าชูอีนั้นคมกริบยิ่งกว่าสืออู่ อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากกว่า แต่ข้อเสียก็เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน นั่นคือกระบี่ขยับเชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเฉินผิงอันทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ทุกครั้งที่ออกกระบี่ไม่มีความแม่นยำมากพอ แต่หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่กำลังคุมเชิงกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบสูงก็สามารถให้ชูอีเป็นคนออกหน้าพุ่งชนไปทั่วสะเปะสะปะ เพราะอย่างไรก็ไม่ต้องกังวลอยู่แล้วว่าจะชนจนเกิดความเสียหาย ทว่าหากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงก็ยังจำเป็นต้องให้สืออู่ที่นิสัยอ่อนโยนว่าง่ายและว่องไวอย่างถึงที่สุดช่วยโจมตีจุดตาย ควรนำมาใช้ในขั้นสุดท้าย
แน่นอนว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนั้นแข็งแกร่งมาก นี่คือรากฐานที่ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าทุกคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หากโชคดีได้มาครอบครองก็ยิ่งต้องเก็บรักษาให้ดีเหมือนชีวิตของตนเอง และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณของร้อยสำนักปวดหัวอย่างถึงที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มใดก็ล้วนมีปัญหาเหมือนกันอยู่สองข้อ หนึ่งคือได้มาครองไม่ง่าย เพราะวัตถุดิบวิเศษในฟ้าดินที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมกระบี่นั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน สองคือมีชื่อน่าครั่นคร้ามด้านพลังการสังหารที่ยิ่งใหญ่ ไม่ออกมาจากช่องโพรงลมปราณก็มีพลานุภาพในการสยบโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย แต่หากออกจากช่องโพรงมาสังหารศัตรู ขอแค่เกิดความเสียหายเพียงเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นคมกระบี่เกิดบิ่นแตก ตัวกระบี่เกิดรอยร้าว ฯลฯ การซ่อมแซมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่สมบูรณ์แบบก็ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ใหญ่เทียมฟ้า
ดังนั้นถึงมีประโยคหนึ่งซึ่งแพร่ไปถึงบนยอดเขานั่นคือ รวยก็คือผู้ฝึกกระบี่ จนก็คือผู้ฝึกกระบี่ ล้มละลายภายในค่ำคืนเดียวก็คือผู้ฝึกกระบี่
นี่ก็คือสาเหตุที่เฉินผิงอันเรียกชูอีออกมารบก่อน ด้วยกังวลว่าหากสืออู่ขึ้นเวทีสังหารศัตรูเป็นครั้งแรกจะปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวเอง ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็ได้แต่เอาความสามารถที่แท้จริงออกมาวัดกัน
บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ร่างจริงคือภูตต้นไม้โบราณยื่นนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมาเคาะลงบนกระจกหุ้มหัวใจที่ส่องแสงสว่างลุกโชนตรงหน้าอก “หมัดของเจ้าแข็งนักไม่ใช่หรือ มา ต่อยลงมาตรงนี้ได้ตามสบาย เม็ดเสื้อเกราะล้ำค่าที่ต้องจ่ายเงินตั้งสามพันเงินเกล็ดหิมะชิ้นนี้ถูกเก็บไว้ในท้องพระคลังสมบัติลำดับสองของราชวงศ์แคว้นกู่อวี๋ เจ้าคนแซ่เฉิน หากเจ้าต่อยมันให้แตกได้ก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ!”
เฉินผิงอันหรือจะมัวเกรงใจเขา
แตะปลายเท้าเบาๆ กระเบื้องบนพื้นก็ถึงกับปริร้าว ร่างพุ่งกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
คำโบราณที่บอกไว้ว่าต้นไม้ย้ายถิ่นตาย คนย้ายถิ่นรอด ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แม้ว่าบัณฑิตภูตต้นไม้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ร่างกายและจิตใจไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวและไม่อาจทนรับหลายๆ กระบวนท่าติดต่อกัน เขาถึงได้เอาเม็ดเสื้อเกราะที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนี้มาใช้เป็นยันต์คุ้มกันกายในช่วงเวลาที่สำคัญ
บัณฑิตแซ่ฉู่เกิดมาก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งทนทาน บวกกับมีเสื้อเกราะวิเศษปกคลุมทั่วกาย เขาในเวลานี้จึงกลั้นหายใจทำสมาธิ เตรียมพร้อมรอรับหมัดจากเด็กหนุ่ม
หนึ่งหมัดที่ปล่อยออกไปด้วยพละกำลังหนักหน่วง เป็นเหตุให้กระจกหุ้มหัวใจยุบลงไปชุ่นกว่า ร่างทั้งร่างของบัณฑิตแซ่ฉู่ปลิวลิ่วไปกระเด็นเข้ากับกำแพงลานบ้านของเรือนโบราณที่อยู่ด้านนอกสุด แต่คราวนี้สภาพของเขากลับไม่กระเซอะกระเซิงแล้ว กลับเป็นกำแพงด้านหลังของเขาที่พังครืนแหลกละเอียด เผยให้เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัว ด้านในกำแพงไม่ใช่ก้อนอิฐ แต่เป็นรากต้นไม้ที่รัดพันและกำลังเคลื่อนขยับ
บัณฑิตแซ่ฉู่ปัดฝุ่นบนร่าง เอ่ยเย้ยหยัน “มีความสามารถแค่นี้เองหรือ? หากไม่มีใจกล้าหาญของขอบเขตหก ต่อให้ข้าผู้แซ่ฉู่ยืนนิ่งไม่ขยับตั้งแต่ต้นจนจบ ปล่อยให้เจ้าต่อยใส่ร้อยหมัดพันหมัด คุณชายเฉินคิดจะต่อยให้เม็ดเสื้อเกราะแหลกสลายในรวดเดียว ก็ยังยากมากอยู่ดี”
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ ห้า หก สามขอบเขตนี้ไม่ได้ถูกพันธนาการอยู่แค่ที่การหล่อหลอมเรือนกายเสมอไป แต่ยกระดับไปถึงการหลอมลมปราณ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าขอบเขตปรมาจารย์น้อย แต่ละระดับจะมีการสนองตอบต่อจิต วิญญาณและความกล้า หากฝึกสำเร็จ พลังการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ก็จะทบทวี ไม่เพียงแต่ย้อนกลับมาเลี้ยงเรือนกายที่เป็นเลือดเนื้อขอตัวเองได้ เวลาที่รับมือกับผู้ฝึกลมปราณก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่จัดการกับภูตผีปีศาจที่เหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว การลงมือในแต่ละครั้ง พายุหมัดที่พุ่งมาถึงจะร้อนแรงเหมือนดวงตะวัน กี่หมื่นพันความชั่วร้ายก็ต้องพากันหลบเลี่ยง
หนึ่งหมัดต่อยลงบนตำแหน่งที่คาดการณ์ไว้ จากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้ไล่ตามไปโจมตีต่อ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นม้าตีนปลาย ตรงกันข้ามเลยทีเดียว หมัดนี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น หลักๆ แล้วเป็นเพราะเฉินผิงอันตกตะลึงไปกับภาพประหลาดของกำแพงด้านหลังบัณฑิตต่างหาก หรือว่าด้านในกำแพงของบ้านโบราณล้วนมีรากต้นไม้หยั่งลึกอย่างนี้ทั้งหมด?
เรือนด้านหลังมีประกายแสงเจิดจ้าเปล่งวูบวาบสาดส่องม่านราตรีอยู่ตลอดเวลา และระหว่างนั้นก็มีเสียงตวาดคำรามของมือดาบเคราดกดังแทรกซ้อนเข้ามาเป็นระยะ
ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสีเหลืองสามแผ่นเอามาใช้หมดแล้ว แต่ยังเหลือยันต์สยบปีศาจกระดาษสีทองอีกสองแผ่นที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน
และยังมียันต์ย่อส่วนพื้นที่อีกสองแผ่น
เฉินผิงอันกล่าวกับตัวเองในใจว่า ใช้ได้แล้ว
หลายครั้งที่ออกหมัดไปก่อนหน้านี้ล้วนอาศัยความว่องไวปราดเปรียวของร่างกาย แต่อันที่จริงล้วนเป็นวิธีที่ตรงไปตรงมา
ทว่าคราวนี้เฉินผิงอันกลับเลือกทำต่างออกไป เขาตั้งท่าหมัดที่เก่าแก่โบราณอย่างถึงที่สุด ก้าวออกไปหนึ่งก้าว สองแขนยืดขยาย ก่อนจะค่อยๆ กำมือเป็นหมัด ทุกอย่างนี้ล้วนคล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยดุจสายน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตาปณิธานหมัดของเฉินผิงอันก็ไหลบ่าราวกับสายน้ำ เจิดจ้าบาดตาอย่างแท้จริง เมื่อตกมาอยู่ในสายตาของบัณฑิตแซ่ฉู่ก็เป็นราวกับดวงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นทางทิศตะวันออกเหนือผืนมหาสมุทร น่าตื่นตาตื่นใจสุดขีด
กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
บัณฑิตแซ่ฉู่กลืนน้ำลาย คิดในใจว่าควรจะกลับมานั่งคุยกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่?
เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเสื้อเกราะวิเศษตัวนี้อาจจะไม่สร้างความมั่นคงปลอดภัยให้เขาได้เสมอไป?
เห็นๆ กันอยู่ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังฝึกการหลอมลมปราณของวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ถึงขอบเขตสามเลยด้วยซ้ำ!
แล้วทำไมถึงมีปณิธานหมัดที่เข้มข้นซึ่งป่าเถื่อนและไร้เหตุผลได้ถึงเพียงนี้?
ใจของบัณฑิตแซ่ฉู่คิดจะถอย อย่างน้อยก็ควรหลบเลี่ยงประกายคมกริบของอีกฝ่าย ไม่ปล่อยให้หมัดต่อยลงมาบนร่างอย่างโง่งมอีก แต่วินาทีที่เขาเตรียมจะย้ายตำแหน่งนั้นเอง ร่างของเด็กหนุ่มกลับหายไปกลางอากาศ พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบัณฑิต ปล่อยหมัดต่อยลงตรงซี่โครงที่มีเสื้อเกราะบดบังด้วยพลังอำนาจที่ดุดัน พละกำลังรุนแรงมาก ทำเอาบัณฑิตแซ่ฉู่เซถอยออกไปด้านข้าง แต่ขณะเดียวกันเขาก็โล่งใจได้ เพราะหลังจากที่ตั้งท่าหมดแบบจริงจังแล้ว ปณิธานหมัดของเด็กหนุ่มน่าตกใจก็จริง แต่ดูเหมือนพลังจะเพิ่มขึ้นไม่มาก
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าเคยพูดสัพยอกในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วว่า กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของข้าผู้อาวุโสให้ความสำคัญกับหมัดแรก เมื่อหมัดแรกมาถึง ปณิธานศักดิ์สิทธิ์ถูกชักนำ หัวท้ายเชื่อมโยงกัน สิบหมัดร้อยหมัดหลังจากนั้นก็ย่อมมาถึงได้เอง ดังนั้นหมัดแรกต้องต่อยให้โดนคู่ต่อสู้ หลังจากนั้นสามารถปล่อยไปได้อีกกี่หมัดก็อยู่ที่ว่าลมปราณเฮือกหนึ่งนั้นสามารถประคองตัวได้ถึงเมื่อไหร่
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้หมัดแรกพลาด เฉินผิงอันถึงยอมใช้ยันต์ย่อพื้นที่หนึ่งแผ่นโดยไม่เสียดาย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ออกหมัดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พละกำลังแค่หนักกว่าหมัดก่อนหน้านี้เล็กน้อยเท่านั้น ต่อยลงบนช่องโพรงต่างๆ ของบัณฑิตแซ่ฉู่ และตรงจุดที่ลำแสงบนเสื้อเกราะไหลเวียนวน ไม่ว่าหมัดของเฉินผิงอันต่อยลงที่ใด แสงตรงจุดนั้นก็จะสว่างวาบขึ้นมา สมกับที่เป็นสมบัติอาคมล้ำค่าอันดับต้นๆ ของแคว้นกู่อวี๋
ทุกครั้งที่พยายามจะหลบเลี่ยงกลับหลบหมัดนั้นไม่พ้น ราวกับว่าพลาดไปเพียงแค่ก้าวเดียวอยู่เสมอ หลังจากที่ต้องรับหมัดเต็มๆ ถึงสิบหมัด บัณฑิตแซ่ฉู่ที่ไร้ปัญญาจะตอบโต้ก็พลันหน้าซีดขาว
หัวไหล่ หน้าอก ซี่โครง หน้าท้อง หัวใจด้านหลัง จุดไท่หยางตรงศีรษะ (อยู่ตรงขมับ รอยบุ๋มระหว่างหางคิ้วกับไรผม) หว่างคิ้ว ข้อศอก หัวเข่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!