แม้ว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของมือดาบเคราดกที่เดินทางมาที่นี่เพียงแค่เพื่อสังหารปีศาจจะไม่ถือว่าสูงมากนัก เป็นแค่ขอบเขตสี่ที่มั่นคง ทว่าดาบวิเศษในมือเล่มนั้นกลับเป็นศาสตราวุธที่มีระดับขั้นสูงสุด หลังกรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ขณะที่ชักดาบจะมีแสงสีแดงเปล่งประกายคลอมากับเสียงสายลมสายฟ้าคำรณ พลังอำนาจดุดันมิอาจขัดขวาง
หญิงชราที่ก่อนหน้านี้ทำหน้าที่เฝ้าเรือนสามชั้นแรกคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามที่เก็บซ่อนฝีมือไว้อย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าอายุของนางสูงมากแล้ว พละกำลังไม่เป็นใจ จึงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมยุทธ์หน้าหนวดและดาบวิเศษเล่มนั้นอยู่ดี หลังจากสู้กันหลายสิบรอบก็ถูกชายฉกรรจ์ใช้หลังดาบตีจนมึน แล้วแตะเข้าไปในห้องจนกระทั่งนางหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีหญิงชราไม่น่าจะหมดสภาพได้ถึงขั้นนี้ เพียงแต่ว่าถูกกักขังอยู่ในกรงมานาน ถูกปราณแห่งความมืดมนชั่วร้ายที่ค่ายกลดึงให้มารวมตัวกันรุกรานอยู่นานเกินไป แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนผีหรือวัตถุหยินที่พบเจอแสงสว่างไม่ได้ แต่กลับหวาดกลัวปราณอันทรงพลังของดาบวิเศษเล่มนั้นมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งมือดาบเคราดกยังเคยเดินทางไปทั่วสารทิศ มีประสบการณ์ด้านการเข่นฆ่าอย่างโชกโชน การที่หญิงชราพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
ในเรือนชั้นสุดท้าย ตอนแรกบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านโบราณเลือกที่จะออกมารับมือกับศัตรูเพียงลำพัง เขาพลิ้วตัวจากระเบียงคนงามเข้ามาอยู่กลางลานบ้าน หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ถูกฝุ่นเกาะมานานปี ตัวกระบี่เยียบเย็นดุจสายน้ำ ประมือกับมือดาบ กระบี่ของเขาตวัดฉวัดเฉวียนอย่างแผ่วเบาว่องไว ไม่ยอมปะทะกับดาบวิเศษซึ่งๆ หน้า ทุกๆ ครั้งที่ออกกระบี่จะต้องทิ่มแทงเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของชายฉกรรจ์หนวดดกโดยตรง ปลายกระบี่พ่นประกายแสงสีเขียวอันเป็นกระแสแสงงดงามที่ปนความเศร้าอยู่ท่ามกลางม่านฝน
มือดาบเคราดกลงมือได้มีท่วงทำนองคล้ายคลึงกับทหารกล้าในสมรภูมิรบ หยาบกระด้างเรียบง่าย ทุกครั้งที่ชักดาบมีเพียงความเร็วและดุดัน กระบวนท่าไม่ซับซ้อน ไม่ได้ดูอัศจรรย์สักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าทุกดาบล้วนคล่องแคล่วว่องไว ดึงกลับชักออกได้ตามใจปรารถนา หากหนึ่งดาบไม่โดนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนแล้วศัตรูต้องบาดเจ็บสาหัส เมื่อรับมือกับเวทกระบี่ชั้นสูงของบุรุษที่สวมชุดสีดำ มือดาบเคราดกก็ยังคงรับมือได้อย่างสบายๆ
เมื่อเขาพบเห็นเบาะแสบางอย่าง ชายฉกรรจ์ก็ออกกระบี่รวดเร็วรุนแรงมากกว่าเดิม เพราะเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถึงกับแผดเสียงด่าดังลั่น “เจ้าคนระยำ ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลเซียนที่ถูกทำนองคลองธรรม แต่ดันไม่ยอมช่วงชิงมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะ เหตุใดถึงปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ?! กลับกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งผี เอนเอียงเข้าข้างผีสาวตนนี้ ทำร้ายให้รัศมีหลายร้อยลี้รอบด้านที่แห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย?! เจ้าว่าตัวเองสมควรตายหรือไม่!”
ชายฉกรรจ์เคราดกคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล มือทั้งคู่ที่ถือดาบตวัดฟันลงไปด้านล่างอย่างแรง ดาบนั้นฟันลงไปที่กระบี่ของคนผู้นั้น ฟันให้ทั้งคนทั้งกระบี่แหลกสลายไปหลายจั้ง เจ้าของบ้านโบราณที่สีหน้าเป็นคนหนุ่ม แต่เส้นผมกลับขาวโพลนถอยกรูดไปด้านหลัง น้ำฝนใต้ฝ่าเท้าสาดกระเซ็นไปรอบด้าน กว่าจะหยุดยืนนิ่งๆ ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขากลืนเลือดสดที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอลงไป บุรุษที่สีหน้าแห้งเหี่ยวบิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงกระบี่ก็พลันเปล่งวาบแล้วตรงเข้าทะลวงหยดน้ำฝนจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้กับบริเวณปลายกระบี่ให้แตกกระจาย เสียงปริแตกดังเหมือนเสียงประทัดในวันตรุษจีน
ชายฉกรรจ์เคราดกก้าวออกไปข้างหน้าหนักๆ หนึ่งก้าว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ของดาบที่ถืออยู่ในมือส่องจ้าจนแขนทั้งแขนถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีแสง อีกมือหนึ่งของชายฉกรรจ์ชี้หน้าบุรุษผู้นั้น ถลึงตาเดือดดาล “ศาสนาพุทธกล่าวไว้ว่ากลับใจคือฝากฝั่ง เจ้าคนสารเลวที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษอย่างเจ้ายังไม่ยอมหยุดมือถอยออกไปอีกรึ?! คิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้แซ่สวีไม่กล้าฆ่าเจ้าไปพร้อมกันด้วย?!”
บุรุษเอ่ยประโยคแรกของค่ำคืนนี้ น่าจะเป็นเพราะเขาเองก็เป็นคนที่มีความรู้ แม้เสียงที่พูดจะแหบพร่าเหมือนเสียงมีดที่ลับบนหิน แต่ท่วงท่ากลับสุขุมเยือกเย็น สีหน้าเป็นธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ไม่ตอบโต้กลับด้วยวาจาบาดหู กลับยังเอ่ยเหมือนสัพยอก “ศาสนาพุทธยังกล่าวด้วยว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ”
มือดาบเคราดกกวาดตามองไปรอบด้าน เงยหน้ามองระเบียงคนงามชั้นสองที่ประตูใหญ่ปิดสนิท หลังดึงสายตากลับมาก็เอ่ยเยาะเย้ยว่า “โอ้โห ยังมีอารมณ์มาตีฝีปากกับข้า ดูท่าคงเป็นเพราะมีที่พึ่งสินะ ก็จริง อาศัยชาติกำเนิดของเจ้าและตบะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าที่เป็นพื้นฐาน ไม่แน่ว่าภายในร้อยปีมานี้อาจจะดำเนินกิจการสกปรกนี้ได้อย่างเจริญรุ่งเรือง หาไม่แล้วเทพภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงก็คงไม่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำของเจ้า หากข้าเดาไม่ผิด แม้ว่าเจ้าจะไม่มีหน้ากลับสำนัก แต่เมื่ออยู่ข้างนอกก็คงอาศัยชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสำนักมาข่มขู่ผู้คนไว้ไม่น้อย คนนอกถึงได้ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่นิดเดียว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็เดือดดาลสุดขีด สีหน้าของเขาเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์ในวัดที่ถลึงตามองมาอย่างดุดัน แผดเสียงดังดุจฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ “ใช่หรือไม่?!”
บุรุษที่ถือดาบยาวเพียงแค่ยิ้มบางๆ ไม่ตอบโต้ ทว่าจุดลึกในดวงตากลับมีความกลัดกลุ้มซ่อนอยู่
ชายฉกรรจ์เคราดกเอ่ยเสียงเฉียบ “ให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวเป็นคนใหม่ เจ้าไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่สวีสังหารปีศาจอย่างไร้เมตตาแล้วกัน!”
ก่อนที่ชายฉกรรจ์จะชักดาบ บุรุษถอนหายใจอย่างหมดอาลัยพ่วงแฝงไปกับความละอายใจ จากนั้นเขาก็กัดปลายนิ้วให้เลือดไหล ใช้มันเขียนตัวอักษรคำเขียวตำราชาด (คำเขียวหรือบทความสีเขียวคือคำอวยพรที่นักพรตลัทธิเต๋าเขียนถวายแก่สวรรค์ในช่วงเวลาที่บำเพ็ญกายใจเพื่อถวายแก่เทพยดา ตำราชาดคือหนังสือที่เขียนด้วยหมึกแดง) ลงบนด้ามกระบี่
การสรรเสริญด้วยคำเขียวคือหนึ่งในพิธีกรรมของลัทธิเต๋า เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลสามารถถวายสารให้แก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ได้โดยตรง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างฟ้าและดิน หากมีความจริงใจมากพอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์รับรู้ก็จะมีเทพองค์ต่างๆ เยื้องกรายลงมาเยือน ยกตัวอย่างเช่นหากเขียนคำเขียวให้แก่องค์เทพในกรมสายฟ้า และถ้าเทพสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก็อาจถึงขั้นได้ครอบครองสายฟ้าไว้ในมือ มีร่างทองปกป้องกาย ในระยะเวลาสั้นๆ เหมือนมีขุนพลเทพกรมสายฟ้ามาเยือนโลกมนุษย์ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย
“มิน่าเล่ากำแพงบังตานั้นถึงมีท่วงทำนองของคำเขียวชั้นเยี่ยมหลงเหลืออยู่ คนระยำอย่างเจ้าเป็นถึงลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักโองการเทพ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยังไม่สาสม!”
บุรุษเคราดกโมโหจนแทบเต้นผาง เขาฟาดดาบลงไปเต็มแรง แสงสว่างระเบิดเจิดจ้า ขับให้ทั่วทั้งเรือนสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
สำหรับเขาแล้ว การที่ภูตผีปีศาจมาก่อความวุ่นวายอยู่ในโลกมนุษย์ การกระทำที่โหดร้ายของพวกมันสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้คนมากแค่ไหน แต่ชายฉกรรจ์เคราดกที่เห็นเรื่องประหลาดและโศกนาฎกรรมมาจนเคยชินก็ไม่มีทางรู้สึกตื่นตะลึงอะไรมากมาย เพราะนั่นเป็นสันดานเดิมของพวกภูตผีปีศาจ หากพวกมันอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติต่างหากถึงจะแปลก ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงมักจะแค่สังหารพวกมันให้จบเรื่องจบราว ไม่มีทางเป็นเดือดเป็นแค้นอย่างในเวลานี้
แต่หากผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเปลี่ยนจากธรรมะมาเป็นอธรรม อาศัยฝีมือที่มากกว่ามารังแกคนอื่น นั่นต่างหากถึงจะเป็นการกระทำที่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด
ด้วยความเกรี้ยวกราด ชายฉกรรจ์เคราดกยิ่งแผ่พลังอำนาจน่าตะลึง ยิ่งพลังเปี่ยมล้นมากเท่าไหร่ ดาบก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ดาบวิเศษเล่มนี้ยังเป็นอาวุธเทพที่เดิมทีพวกปรมาจารย์ในยุทธภพก็น้ำลายไหลอยากได้มาครอบครองอยู่แล้ว ทันใดนั้นแสงดาบก็ส่องสว่างจ้าอยู่ในลานบ้าน พายุลมปราณพัดกระหน่ำ เป็นเหตุให้เม็ดฝนที่โชคร้ายตกลงมาในลานบ้านแห่งนี้แหลกสลายอยู่กลางอากาศทั้งที่ยังไม่สัมผัสแตะก้อนอิฐบนพื้น
แม้ว่าจะใช้สุดยอดวิชาจากสำนัก แต่บุรุษเจ้าของบ้านอ่อนระโหยโรยแรงเกินไป เนื้อหนังก็แห้งเหี่ยว ประหนึ่งผู้เฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่ง แม้จะฝืนประคับประคองขอบเขตให้อยู่บนธรณีประตูขอบเขตห้าไว้ได้ แต่ลมปราณกลับเหือดหายแทบไม่เหลืออยู่นานแล้ว ประหนึ่งธารน้ำที่แม้ท้องน้ำจะกว้างขวาง แต่กลับไม่มีน้ำไหลผ่านสักเท่าไหร่ แห้งขอดจนแทบจะเห็นเบื้องล่าง และนี่ก็ทำให้การสรรเสริญคำเขียวที่เขียนไว้บนตัวกระบี่เพื่อเพิ่มพลังการโจมตีให้กับกระบี่เล่มยาวได้ผลเพียงน้อยนิด
ชั้นที่สองของหอซิ่วโหลว ในที่สุดผีสาวที่สวมเสื้อเขียวกระโปรงเขียวก็ปรากฏกาย นางใช้มือหนึ่งปิดหน้า อีกมือหนึ่งค้ำเสาระเบียง
เมื่อนางปรากฏตัว ตรงกำแพงบ้าน พื้นดินกลางลานบ้าน และเสาตามระเบียงก็มีรากต้นไม้หนาเท่าแขนคนจำนวนมากผุดพุ่งออกมาเหมือนลูกธนูที่แล่นออกจากสาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!