ตอน บทที่ 219.1 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 219.1 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพากันหันมามองนักพรตต่างถิ่นคนนี้ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป นักพรตเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่ตรงเอวมีเชือกสีดำขดห้อยเอาไว้ พอเห็นนักพรตจางซานเฟิงสีหน้าก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ปลดเชือกลงมาแล้วโยนออกไป เชือกก็กลายมาเป็นเหมือนงูวิเศษตัวหนึ่งที่คลายตัวออกเองอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็รัดพันร่างนักพรตหนุ่ม จางซานเฟิงเฟิงที่ถูกมัดเหมือนบ๊ะจ่างยืนโงนเงนจะล้มมิล้มเหล่ กว่าจะยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพหัวเราะเสียงเย็น “ทำไมต้องฟังคำพูดเหลวไหลจากเจ้าด้วย? นักพรตตัวปลอมที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง หากยังกล้าปากมาก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปข้างนอกเสียเลย”
นักพรตจางซานเฟิงกล่าวอย่างเดือดดาล “ข้าผู้เป็นนักพรตมีแซ่จางนามซานเฟิง มาจากกุรุทวีป อาจารย์คือหั่วหลงเจินเหรินจากพรรคหลิงเซียว (เมฆที่ลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า) และข้าผู้เป็นนักพรตก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชื่ออยู่ในทำเนียบสามารถตรวจสอบได้! ออกเดินทางไกลมาขัดเกลาจิตใจที่แจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ ก็เพื่อทำการทดสอบของภูเขามังกรพยัคฆ์ให้สำเร็จ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับคืนสู่บ้านเกิดก็จะได้กลายเป็นนักพรตในบัญชีลำดับวงศ์ตระกูลของจวนเทียนซือ! สำนักโองการเทพของพวกเจ้าช่างมีบารมียิ่งใหญ่นัก ถึงขนาดกล้าหมิ่นเกียรติคนตระกูลจางแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์!”
เด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพที่มีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอมึนงงเล็กน้อย ความเกรี้ยวกราดโอหังหายไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัดว่าเขาตกตะลึงกับคำกล่าวที่ว่า ‘จวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์’ เพราะหากจะให้สำนักโองการเทพไปงัดข้อกับพวกเขา สำนักโองการเทพก็ไม่มีความมั่นใจนั้นจริงๆ
ชื่อเสียงของคนประดุจเงาที่ตามติด สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงแจกันสมบัติทวีปไม่มีสักคนที่รับมือได้ง่าย
ภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยิ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ไม่อยู่ในอาณัติของสายใดในสามลัทธิของสำนักเต๋า คือระบบเต๋าของพื้นที่แห่งหนึ่งที่ก่อตั้งสำนักขึ้นมาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจากสำนักโองการเทพได้ยินชื่อเสียงของพวกเขามานานแล้ว แต่ก็ถูกจำกัดอยู่แค่ที่ตำนานในเรื่องเล่าจากเกร็ดพงศาวดารเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนฟังมาจากชาวบ้านความรู้ตื้นเขินที่เล่าลือกันปากต่อปาก ขนาดผู้ฝึกลมปราณทั่วไปบนภูเขายังไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง แค่รับฟังเหมือนฟังเรื่องตลก แต่ถึงอย่างไรสำนักโองการเทพก็ถือเป็นตระกูลเซียนที่ได้ใช้คำว่าสำนัก จึงเข้าใจรากฐานที่แท้จริงของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์มากกว่าคนอื่นๆ เทียนซือตระกูลจางมือหนึ่งถือตราประทับ มือหนึ่งถือกระบี่เซียน มรรคกถายิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด พลังการสังหารไร้ขอบเขต นั่นคือเซียนห้าขอบเขตบนที่สามารถเลื่อนขั้นสู่สิบอันดับแรกของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยบุคคลระดับอัจฉริยะอย่างแท้จริง นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับตำแหน่งอันโดดเด่นของฉีเจินที่เป็นทั้งเจ้าสำนักโองการเทพ แล้วก็เป็นทั้งเจินจวินแห่งแจกันสมบัติทวีป ดังนั้นสำนักโองการเทพจึงสามารถเข้าใจถึงกลิ่นอายความเป็นเซียนที่ท่วมเทียมฟ้าของภูเขามังกรพยัคฆ์ได้เป็นอย่างดี
นักพรตจางซานเฟิงฉวยโอกาสโจมตี จ้องเขม็งไปยังนักพรตเฒ่าที่เป็นผู้นำซึ่งมีสายตามืดทะมึนด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “หยางหว่างเป็นอดีตลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ก็เพราะคำว่ารักคำเดียว ต่อให้ข้าที่เป็นคนนอกมาเห็นเข้าก็ยังรู้สึกชื่นชมสรรเสริญ แทบหลั่งน้ำตาให้กับความรักของพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้ ในฐานะผู้นำระบบเต๋าของแจกันสมบัติทวีป คิดๆ ดูแล้วสำนักโองการเทพก็น่าจะมีน้ำใจและจิตใจประมาณเดียวกันนี้ถึงจะถูกไม่ใช่หรือ?”
เด็กน้อยของสำนักโองการเทพที่อายุน้อยที่สุดซึ่งในมือถือไม้โบราณชิ้นยาวกระตุกชายแขนเสื้อของนักพรตที่เป็นเด็กสาวเบาๆ ถามเสียงค่อย “ศิษย์พี่หญิง ข้ารู้สึกว่าที่จางเซียนซือคนนี้พูดมาก็ถูกนะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เด็กสาวที่ตรงเอวมีแส้ไม้ไผ่สีเขียวสลับเหลืองส่ายหน้า “ก็แค่คำพูดเลื่อนเปื้อนไม่รู้จริงเท็จ อย่าได้คิดเป็นจริง”
เฉินผิงอันเหมือนได้เปิดโลกกว้าง
แต่ขณะเดียวกันนั้นหางตาเขาก็เหลือบไปเห็นทางสันหลังคาของหอซิ่วโหลว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย
นักพรตจางซานเฟิงอยากจะยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตเฒ่าเพื่อเพิ่มความน่าเกรงขามให้กับคำพูดของตัวเอง แต่กลับพบว่าตัวเองถูกมัดไว้แน่นจนกระดุกกระดิกไม่ได้ เลยกระโดดดึ๋งไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่นเสียงหัวเราะหยัน “แล้วนับประสาอะไรกับที่ในอดีตท่านเซียนซือผู้เฒ่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกันกับหยางหว่าง มีมิตรภาพเพราะฝึกตนด้วยกันมานานหลายปี ตอนนี้กลับมาพบกันอีกครั้งก็เหมือนคนบ้านเดียวมาเจอกัน เหตุใดถึงต้องยกอาวุธเข้าห้ำหั่น ไม่ใช่ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างสำราญ? เทียนซือของตระกูลจางข้า ไม่ว่าจะอยู่ในบัญชีรายชื่อหรือเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม ขอแค่พบหน้ากันขณะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศก็เกิดความสนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน แต่เหตุใดสำนักโองการเทพของพวกเจ้าถึงไม่มีบรรยากาศเช่นนี้? อีกอย่างถึงแม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์ อีกทั้งยังเป็นคนที่เดินขึ้นเขาเพื่อฝึกตน แต่กลับรู้หลักการตื้นเขินอย่างข้อที่ว่ากฎหมายไม่มีทางเกินกว่าความรู้สึกของคนเป็นอย่างดี”
สุดท้ายนักพรตหนุ่มเปลี่ยนน้ำเสียงมาเป็นหัวเราะคิกคัก “ท่านเซียนผู้เฒ่าคงไม่ได้มีความแค้นเก่ากับหยางหว่าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่สนใจหน้าตาของสำนัก คิดจะบีบให้สามีภรรยาคู่นี้ตายให้ได้หรอกกระมัง? แต่ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก เพราะแค่มองก็รู้แล้วว่าท่านเซียนผู้เฒ่าเป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเรื่องนี้จบลง นักพรตจางซานเฟิงจะต้องช่วยนำชื่อเสียงของท่านเซียนผู้เฒ่าและสำนักโองการเทพไปบอกต่อ ต่อให้ในอนาคตได้ไปถึงภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นปฐมสำนักแล้ว ขอแค่พูดถึงสำนักโองการเทพก็จะยังยกนิ้วโป้งชื่นชม!”
ผู้เฒ่าที่ยืนเอาสองมือไพล่หลังเพียงหรี่ตายิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงพลันเอ่ยภาษาอะไรบางอย่างที่ไม่ว่าใครก็ฟังไม่เข้าใจ นักพรตจางซานเฟิงมึนงงเล็กน้อย แล้วจู่ๆ นักพรตหนุ่มที่สะพายกระบี่ถือกระพรวนคนนั้นก็เปลี่ยนกลับมาพูดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีป หลุบตาลงมองจากที่สูง ยื่นนิ้วชี้หน้านักพรตจางซานเฟิง กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคนโกหก ข้าถามเจ้าด้วยภาษาทางการของกุรุทวีป ทำไมเจ้าถึงตอบไม่ได้สักคำถามเดียว?! บังอาจสวมรอยเป็นลูกศิษย์ตระกูลจางภูเขามังกรพยัคฆ์อยู่ในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เท่ากับละเมิดกฎของระบบเต๋าในทวีป เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักโองการเทพก็ยังมีสิทธิ์จับตัวเจ้าอยู่ดี?! ยังไม่รีบคุกเข่ายอมรับผิดอีกรึ!”
คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับคนสารเลวที่พูดจาเลื่อนเปื้อนเหลวไหลได้เก่งกว่าตน นักพรตจางซานเฟิงโมโหหนัก เริ่มใช้ภาษาทางการของกุรุทวีปที่แท้จริงด่านักพรตหนุ่มคนนั้นกลับไป จากนั้นถึงหันกลับมาพูดภาษาของแจกันสมบัติทวีป “พูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง กลับดำเป็นขาว สำนักโองการเทพตัวดี เจ้าลัทธิเต๋าแห่งแจกันสมบัติทวีปตัวดี!”
คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มบนกำแพงจะไม่สนใจนักพรตจางซานเฟิงเลยสักนิด เขาหันหน้าไปมองผู้เฒ่า เสนอความคิดด้วยรอยยิ้มตาหยี “อาจารย์ วิเคราะห์ขั้นต้นได้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาจากกุรุทวีป ส่วนข้อที่ว่าจะใช่ลูกศิษย์ตระกูลจางของภูเขามังกรพยัคฆ์หรือไม่นั้น ยังต้องค่อยๆ ตัดสินใจกันไป ไม่สู้จับตัวเขาเอาไปโยนไว้ข้างๆ ก่อน รอให้พวกเราจัดการเรื่องในสำนัก จัดการกับผีชางผีต้นไม้คู่นั้นให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีไหม?”
ย้อนนึกถึงในอดีต ปีนั้นเขายังถึงขั้นเคยได้พูดคุยกับคู่กุมารทองกุมารีหยกที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปคำสองคำ
นี่ถือเป็นเกียรติยศที่สูงส่งมากแค่ไหน?
โดยเฉพาะแม่ชีสาวที่มักจะมีกวางขาววิเศษเคียงกายคนนั้น ปีนั้นตอนที่คุยเล่นกัน ใบหน้าของนางยังเคยเผยรอยยิ้มบางๆ ด้วย
นี่คือภาพเหตการณ์อันงดงามที่หาได้ยากแค่ไหน? ต่อให้เป็นแค่รอยยิ้มตามมารยาท แล้วจะอย่างไร?
ต้องรู้ว่านางเป็นถึงสตรีที่ขนาดเซียนกระบี่พสุธาคนหนึ่งก็ไม่อาจได้มาครอบครอง อีกทั้งเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะคนนั้นยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พันปีของแจกันสมบัติทวีปด้วย
มาถึงท้ายที่สุด ตอนนี้เขากลับทำได้เพียงติดตามอาจารย์ที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา พาเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งลงมาฝึกประสบการณ์ในบ่อโคลนตีนเขาอย่างยากลำบาก แม้จะพูดอย่างสวยหรูว่าเป็นการขัดเกลาจิตใจในการฝึกตน แต่ตลอดทางที่ผ่านมาได้แต่สังหารวัตถุชั่วร้ายที่ยังไม่มีสติปัญญา กำราบภูตภูเขาผีพรายที่ยังไม่จำแลงร่างเป็นคนแค่ไม่กี่ตัว จากนั้นก็มาพัวพันอีรุงตุงนังอยู่กับศิษย์ทรยศของสำนัก กับผีสาวปีศาจต้นไม้พวกนี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ด้วยความโมโห เขาจึงเตรียมจะชักกระบี่
ถึงอย่างไรซะหากสังหารได้ก็เป็นแค่ผีชางภูตต้นไม้เท่านั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ต่อให้ตนจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวมากแค่ไหน ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสาม และก็พอจะมีความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ กับกุมารทองที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องราวภายนอกของสำนักโองการเทพอยู่บ้าง คิดๆ ดูแล้วต่อให้ถูกลงโทษก็คงเป็นการลงโทษแบบหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตัวเอง หรือไม่ก็คัดลอกคัมภีร์อะไรทำนองนั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไร?
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!