กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 219

กระบี่จงมา – บทที่ 219.2 นักพรตเต๋าขับบทกวี
บทที่ 219.2 นักพรตเต๋าขับบทกวี
โดย
ProjectZyphon
น้ำเสียงแหบเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ “กระบี่ไม่ควรชักออกจากฝักส่งเดช”

ทุกคนเงยหน้ามองไปตามเสียงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ม่านราตรีตรงจุดนั้นกระเพื่อมเป็นริ้วเบาๆ ดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นจะใช้ยันต์อำพรางกายชั้นเยี่ยมมองดูเหตุการณ์ในลานบ้านอยู่ตรงหลังคาตลอดเวลา เวลานี้พอค่อยๆ เผยกายจึงเห็นว่าเป็นเด็กสาวที่เรือนกายไม่สะโอดสะองสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เรียกว่าอ้วนฉุ ใบหน้าของนางกลมแป้นแดงปลั่ง สวมชุดผ้าต่วนสีแดง ดูมีสง่าราศีเปี่ยมวาสนา

นักพรตเฒ่าตกใจตะลึงลาน รีบกุมมือคารวะ “จ้าวหลิวคารวะอาจารย์อา”

เด็กสาวหน้ากลมที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่เล่มยาวกล่าวอย่างกังขา “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ?”

ผู้เฒ่ายิ้มเต็มใบหน้า “ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก มีใครบ้างที่ไม่รู้จักอาจารย์อา ถ้าไม่รู้จักก็หูตาคับแคบมีความรู้แค่หางอึ่งเกินไปแล้ว”

เด็กสาวหน้ากลมพลันหน้าดำ หัวเราะเสียงหยัน “ทำไม เรื่องน่าอายที่ข้าล้มเหลวในการบอกรักกุมารทอง คนทั้งสำนักล้วนรู้กันหมดแล้ว? ผู้หญิงปากยื่นปากยาวหรือผู้ชายปากสว่างคนไหนเอามาบอกเจ้า ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ ตอนข้ากลับไปถึงสำนักจะต้องขอบคุณเขาดีๆ สักรอบ”

ไม่เพียงแต่นักพรตเฒ่าที่ไม่เข้าใจ อันที่จริงทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่พวกเขาจำอาจารย์อาท่านนี้ได้ไม่ใช่ด้วยเรื่องบอกรักไม่บอกรักอะไรนั่น แต่เป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่สาวน้อยผู้นี้มีความอาวุโสสูงมาก แต่กลับสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนในสำนักโองการเทพได้เสมอ เวลาปกติชอบขับกระบี่ด้วยความเร็วสูงสุดพุ่งชนไปตามยอดเขาต่างๆ อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวตัวอวบ บินไปบินมาอยู่อย่างนี้ทั้งปี เรื่องที่นางชอบทำมากที่สุดก็คือขี่กระบี่บินเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็พุ่งหัวทิ่มลงมาจากกลางอากาศสูงร้อยจั้งพันจั้ง ขณะที่อยู่ห่างจากพื้นประมาณสองสามจั้งถึงจะบังคับกระบี่ให้ดีดตัวขึ้น บินแนบติดไปกับพื้นดิน จากไปไกลอย่างสง่างาม ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป มีใครกล้าไม่กลัวตายแบบนี้บ้าง? แล้วใครที่จะจำท่านบรรพบุรุษน้อยคนนี้ไม่ได้บ้าง?

อีกอย่างเมื่อสองปีก่อนเด็กสาวพยายามที่จะเปลี่ยนทิศทางในขณะที่ห่างจากพื้นหนึ่งจั้ง ผลกลับกลายเป็นว่าหัวทิ่มลงพื้นทั้งกระบี่ทั้งคน ตั้งเด่ปักอยู่บนผืนดินอย่างโดดเดี่ยวเหมือนต้นหอมที่ปักกลับหัว ทำเอาพวกลูกศิษย์ที่เดิมทีมองดูพลางปรบมือร้องให้กำลังใจเป็นใบ้อึ้งค้างกันไปทุกคน

สุดท้ายเฮ้อเสี่ยวเหลียงกุมารีหยกที่สนิทกับนางมากสั่งสอนนางไปหนึ่งครั้ง ถึงทำให้บรรพบุรุษน้อยท่านนี้สำรวมขึ้นได้บ้าง

หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็ฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตของห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ จากนั้นนางก็เริ่มขับกระบี่อยู่ในสำนักโองการเทพอีกครั้ง เตร็ดเตร่อยู่หน้าจวนของเทพเซียนภูเขาที่ตั้งอยู่ในภูเขาแต่ละลูก ทำให้พวกผู้อาวุโสในสำนักที่เคยชินกับการฝึกตนอย่างเงียบสงบเริ่มรำคาญหงุดหงิดงุ่นง่านใจ เพียงแต่ว่าตอนที่ท่านปู่ทวดของเด็กสาวยังมีชีวิตอยู่เคยเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของฉีเจินเจ้าสำนักโองการเทพคนปัจจุบัน เป็นเหตุให้เทียนจวินฉีเจินที่นิสัยเย็นชารักความสันโดษลำเอียงเข้าข้างทายาทของอาจารย์คนนี้มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นมากยิ่งกว่าคู่กุมารทองกุมารีหยกด้วยซ้ำ

เด็กสาวเห็นสีหน้าของทุกคนก็รู้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิด แถมยังหลุดปากเผยความลับของตัวเองออกมา ใจอยากจะขับกระบี่หนีไปให้ไกลพันหมื่นลี้เสียเดี๋ยวนั้น แต่พอนึกถึงคำไหว้วานจากพี่สาวเฮ้อกับเจ้ากุมารทองใจสุนัขคนนั้น จึงได้แต่ข่มกลั้นไฟโทสะและความอับอาย ตีหน้าเคร่งยืนอยู่บนหลังคา เริ่มครุ่นคิดหาถ้อยคำที่จะใช้ขับไล่ชายหญิงเจ้าของบ้านโบราณที่ไม่รู้จักหนักเบาคู่นั้น

สำนักโองการเทพเองก็เหมือนสำนักส่วนใหญ่ที่มีการแบ่งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ก่อนที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไปจากสำนักโองการเทพ กุมารทองกับกุมารีหยกอยู่ในสำนักเดียวกันถือเป็นความเจริญรุ่งเรืองที่หาได้ยากยิ่ง เพื่อฝึกประสบการณ์ให้กับศิษย์ที่เป็นความภาคภูมิใจของสำนักสองคนนี้ ฉีเจินเจ้าสำนักจึงมอบหมายงานของฝ่ายนอกให้เด็กรุ่นหลังทั้งสองโดยเฉพาะ แน่นอนว่าไม่ได้โยนงานใหญ่หนักหนาอะไรมาให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ให้พวกเขาทำหน้าที่เหมือนขุนนางผู้ตรวจการของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่มีสิทธิ์ตรวจสอบร้อยขุนนาง อีกอย่างบางครั้งพวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็จะได้รับอำนาจในการจัดการเรื่องราวธรรมดาทั่วไปของฝ่ายนอกอย่างเต็มที่ แล้วก็มีอำนาจในการเขียนตัวอักษรสีแดง ซึ่งก็คือใช้พู่กันจุ่มหมึกสีขาดเขียนคำแนะนำว่าจะจัดการเรื่องราวหนึ่งโดยละเอียดอย่างไร จากนั้นก็มอบให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักไปจัดการเรื่องราวในโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ถือเป็นหนึ่งในการขัดเกลาประสบการณ์ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร พวกเฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนก็มีอำนาจในการตรวจสอบและตัดสิน

ดังนั้นกุมารีหยกของระบบเต๋าในแจกันสมบัติทวีปอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงจึงได้รับการปลูกฝังอบรมอย่างลึกซึ้งจากสำนักอย่างแท้จริง แต่นางกลับเลือกจะจากสำนักโองการเทพไปอย่างเด็ดเดี่ยว อย่าว่าแต่คนนอกที่ไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสและบุรพาจารย์หลายคนของฝ่ายในสำนักโองการเทพเองต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ถึงได้มีคนด่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงว่าเป็นคนเนรคุณเลี้ยงเสียข้าวสุก

คงเป็นเพราะคนทั้งสำนักโองการเทพล้วนให้ความสำคัญกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงผู้มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปมากเกินไป ดังนั้นรักมากจึงยิ่งเกลียดแค้นมาก

จดหมายลับที่หยางหว่างส่งไปยังสำนัก อันที่จริงสำนักโองการเทพได้รับตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว ตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังไม่ออกจากสำนัก อีกทั้งยังเคยทะเลาะกับกุมารทองเพราะจดหมายฉบับนี้ กุมารทองหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอักษรสีชาดก่อน เนื้อหาประมาณว่าให้จัดการอย่างเหมาะสม อย่าเข้มงวดกับหยางหว่างมากเกินไป เพราะอันที่จริงแล้วเรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีความคิดเห็นในทางตรงกันข้าม หนังสือสีชาดที่นางเขียนมีเนื้อหาค่อนข้างรุนแรง บอกว่าหยางหว่างเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพ แต่กลับตกต่ำกลายมาเป็นผีชาง ควรจะลงโทษอย่างเข้มงวดไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ทว่าการลงโทษที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงสองคนมีต่อผีสาวผู้นั้นกลับไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เลือกที่จะไม่ให้ความสนใจ

เพราะสองฝ่ายมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จดหมายลับฉบับนี้ของหยางหว่างจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ชั่วขณะ สำหรับเรื่องนี้หากว่ากันตามเหตุตามผลและเรื่องราวบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้แล้ว ฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพต่างก็เอนเอียงไปตามความคิดของเฮ้อเสี่ยวเหลียงในเวลานั้น แต่ใครก็คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพอีกต่อไป แม้แต่สถานะกุมารีหยกก็ยังตัดใจทอดทิ้งได้ลง กุมารทองที่หลงรักเฮ้อเสี่ยวเหลียงมานานหลายปีรู้สึกราวกับว่าจดหมายฉบับนั้นอัปมงคลเกินไป จึงไม่คิดจะสนใจอีก อีกทั้งในมือเขายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกนับไม่ถ้วน จึงโยนไปให้กับผู้อาวุโสคุมกฎของฝ่ายนอกคนหนึ่ง บอกเพียงว่ามอบให้ลูกศิษย์ที่ลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์จัดการตามสมควร ไม่ต้องสนใจเนื้อหาในหนังสือสีชาดที่มีความขัดแย้งกันเอง

เรื่องราวในภายหลังก็ชัดเจนมากแล้ว จ้าวหลิวคว้าโอกาสนี้ไว้ ลงจากภูเขามาแก้แค้นส่วนตัวด้วยตัวเอง

แต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวหน้ากลมแซ่ฟู่คนนี้ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ไหนถึงได้แอบติดตามมาด้วย พอดีกับที่สามารถออกมาผ่อนคลายอารมณ์ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงกุมารทองใจดำของสำนักโองการเทพทั้งวัน นางขับกระบี่บินข้ามผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำอย่างสาแก่ใจ มีบ้างบางครั้งที่พบเจออุปสรรคระหว่างทาง แต่พอได้ยินว่านางเป็นลูกศิษย์สายตรงของฝ่ายในสำนักโองการเทพ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ฝึกตนอิสระที่เหี้ยมหาญดุดัน ต่างก็แทบจะยกนางขึ้นบูชาเป็นพระโพธิสัตว์กันทั้งนั้น

คำพูดของเด็กสาวแซ่ฟู่อาจหลอกลวงกันได้ แต่กวานดอกบัวที่หายากซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่กล้าล้ำเส้นใช้มั่วซั่ว รวมไปถึงหยกประดับสีทองสะดุดตาตรงเอวนั้นล้วนหลอกใครไม่ได้

หลังจากที่เด็กสาวหน้ากลมปรากฏตัว มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงต่างก็รู้ดีว่าโชคชะตาของคู่สามีภรรยาหยางหว่างไม่อยู่ในการควบคุมของพวกเขาอีกแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

‘ผู้อาวุโส’ ท่านหนึ่งของสำนักโองการเทพ พูดแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว

หยางหว่างกุมมือของผีสาว เงยหน้ามองเด็กสาวคนนั้น คลี่ยิ้มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หยางหว่างและจัวจิงผู้กระทำผิดล้วนเชื่อฟังทุกคำตัดสินของอาจารย์อา ไม่ว่าเป็นหรือตายก็พร้อมน้อมรับ”

เด็กสาวหน้ากลมปรายตามองสามีภรรยาคู่นั้น คนหนึ่งแห้งเหี่ยว คนหนึ่งอัปลักษณ์ หน้าตาของพวกเขาทำให้คนชื่นชอบไม่ลงจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นรังเกียจสะอิดสะเอียน พอนึกถึงอักษรสีชาดสองฉบับในจดหมายลับ เด็กสาวก็ถอนหายใจ ในใจคิดว่าถึงอย่างไรพี่หญิงเฮ้อก็ไม่ใช่คนของสำนักโองการเทพอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามความต้องการของกุมารทองใจดำคนนั้นแล้วกัน?

นางกระแอมทำลำคอให้โล่ง แล้วออกคำสั่งว่า “จ้าวหลิวจงพาคนไปจัดการกับศาลเทพภูเขาเถื่อนแห่งนั้น ส่วนข้อที่ว่าจะลงมือด้วยตัวเอง หรือร่วมมือกับทางการของราชวงศ์ในท้องถิ่น พวกเจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง คู่สามีภรรยาหยางหว่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันหน้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายโดยใช้นามของสำนักโองการเทพอีก สรุปก็คือนับจากวันนี้ไป ทุกการกระทำของพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักโองการเทพอีกแล้ว”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!