เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย
ฝนหยุดตกแล้ว นักพรตหนุ่มเงยหน้ามองม่านราตรี กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “อยากจะขับบทกวีสักบทจริงๆ”
มือดาบหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างอารมณ์ดี
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวในครั้งนี้ก็ถือว่าจบลงด้วยดีแล้ว
นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เคราดกปิติยินดีได้มากกว่าเวลาปกติที่ผดุงความเป็นธรรม ปราบปีศาจสำเร็จแล้วดื่มเหล้ากินอาหารเลิศรสอย่างเต็มคราบเสียอีก
ในที่สุดหญิงชราที่สลบไสลอยู่ในเรือนชั้นสามก็ฟื้นคืนสติ นางรีบบินพรวดเข้ามา ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นเจ้านายชายหญิงของตนยังคงสุขสบายดี นางจึงพอจะวางใจลงได้ หยางหว่างหันมาพูดกับหญิงชรายิ้มๆ ว่า “ทุกอย่างผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องเป็นกังวลกับพวกคนถ่อยที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นอีกแล้ว”
หญิงชราตกตะลึงไปก่อน จากนั้นก็หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ ร้องไห้จนแทบไม่เป็นเสียง
ผีสาวที่มีชื่อแท้จริงว่าอิงอิงขยับร่างของตัวเองอย่างเชื่องช้า ‘ล่องลอย’ ไปหานาง โอบประคองไหล่ของหญิงชราไว้เบาๆ ส่งเสียงอืออาคล้ายกำลังปลอบหญิงชราอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
เมื่อไม่มีเรื่องให้กังวลก็ตัวเบา หยางหว่างผีชางที่ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาหัวเราะเสียงดัง “จอมยุทธ์ใหญ่สวี จางเซียนซือและคุณชายเฉิน! หากไม่รังเกียจก็ให้พวกเราแสดงมิตรภาพของเจ้าบ้านสักหน่อยเถอะนะ ให้พวกเราได้เตรียมอาหารและเหล้าดีๆ ให้พวกเจ้า เรามาดื่มกันอย่างสบายอารมณ์สักครั้ง?”
สวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม หันไปถามนักพรตจางซานเฟิงกับเฉินผิงอันว่า “พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
นักพรตจางซานเฟิงยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่ได้เล่า?”
เฉินผิงอันเองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตบไปที่น้ำเต้าตรงเอวตัวเอง “หากเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะขอซื้อเหล้าจากพวกเจ้าสักหน่อย”
หยางหว่างโบกมือ พูดอย่างใจกว้าง เหมือนกลับไปเป็นลูกศิษย์ของสำนักโองการเทพที่เต็มไปด้วยปณิธานห้าวเหิมในปีนั้นอีกครั้ง “ซื้อเหล้าอะไรกัน? เหล้าต้มที่ในบ้านหมักกันเองไม่ถือเป็นเหล้าชั้นเยี่ยมอะไร แต่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ หลังกินอาหารค่ำกันเต็มอิ่มแล้ว คุณชายเฉินเอาไปได้เท่าที่ต้องการเลย!”
ทุกคนหัวเราะเสียงดังครึกครื้น ในบ้านโบราณไม่เหลือบรรยากาศอึมครึมอีกต่อไป มีเพียงกลิ่นอายของชาวยุทธ์ที่แม้จะยังไม่ได้ดื่มเหล้าก็ทำให้คนเมามายได้แล้ว
หลังจากนั้นก็เป็นหญิงชราที่คลี่ยิ้ม รีบก้มหน้าเช็ดน้ำตาสาวเท้าเดินเร็วๆ เข้าห้องครัวไปทำอาหาร
สองสามีภรรยารับรองแขกอยู่ในห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม กำลังพูดคุยเรื่องในยุทธภพกับมือดาบเคราดก
นักพรตจางซานเฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังเรียกให้เฉินผิงอันเดินไปที่ระเบียงด้านข้าง เอ่ยขออภัยว่า “เฉินผิงอัน อันที่จริงชื่อจริงของข้านักพรตน้อยคือจางซานเฟิง ไม่ใช่จางซาน ขอโทษด้วย เป็นสหายกัน แต่กลับปิดบังเจ้ามานานขนาดนี้ ไม่ค่อยมีคุณธรรมสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันนั่งบนราวระเบียง ยิ้มพูดอย่างไม่ถือสา “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานเป็นหมื่นปี ยังมีอะไรผิดไม่ผิดอีก”
นักพรตหนุ่มดวงตาเป็นประกาย หัวเราะร่า “เจ้าเองก็ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในยุทธภพใช่ไหม? ก็ว่าแล้ว ถึงแม้ว่าชื่อเฉินผิงอันนี้จะความหมายดีมาก แต่ถึงอย่างไรก็ธรรมดาไปสักหน่อย…”
เฉินผิงอันมองค้อน “คือชื่อจริง!”
นักพรตหนุ่มพลันกระอักกระอ่วน เงียบไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเบาๆ “ลูกกลมๆ ที่เจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้เอาไว้ทำอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันพูดขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในใจ จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้การต่อสู้กันของเรือนฝั่งตรงข้ามรุนแรงมาก ข้าก็เลยออกมาสังเกตการณ์ ที่แท้บัณฑิตแซ่ฉู่คือปีศาจต้นไม้ตัวหนึ่ง หลังจากเขาถูก…เซียนกระบี่สังหารไปก็ทิ้งอาวุธอาคมที่เหมือนจะเรียกว่าลูกกลมเสื้อเกราะเอาไว้ เซียนกระบี่ผู้นั้นจากไปอย่างไม่แยแสมัน ข้าก็เลยแอบไปเก็บมันมา”
เฉินผิงอันยื่นมือส่งลูกกลมนั้นไปให้อีกฝ่าย
“เซียนกระบี่น่าจะเป็นเด็กสาวของสำนักโองการเทพคนนั้น” นักพรตหนุ่มพลันกระจ่างแจ้ง รับมาแล้วก็เอามาชั่งน้ำหนักในมือ น้ำหนักไม่มาก ก้มหน้าลงมองอย่างละเอียด กลิ้งมันในฝ่ามือเบาๆ ยังพอจะเห็นรอยปริแตกที่เล็กบางเสี้ยวหนึ่ง นักพรตแห่งกุรุทวีปที่มีชื่อว่าจางซานเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด คืนมันให้กับเฉินผิงอัน “เหมือนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารในตำนานอย่างมาก แต่เม็ดเสื้อเกราะชิ้นนี้น่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาก่อน จึงเกิดรอยร้าวขึ้นมาเส้นหนึ่ง ทว่าถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว เม็ดเสื้อเกราะถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง แม้ว่าข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าราคาของมันสูงแค่ไหนกันแน่ แต่ก็แน่ใจได้ว่าต้องเป็นของดีที่มีมูลค่าควรเมือง เจ้าเก็บไว้ให้ดี อย่าให้คนอื่นเห็นเด็ดขาด ขอแค่วันหน้าเจอยอดฝีมือที่สามารถซ่อมแซมมันได้ก็สามารถเอามาสวมใส่ได้อย่างสบายใจ เท่ากับเป็นยันต์คุ้มกันกายระดับเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว!”
เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดนี้ หากอิงตามคำบอกของบัณฑิตแซ่ฉู่ นับเป็นสมบัติในคลังเก็บสมบัติลำดับสองของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่อวี๋ มีมูลค่าสามพันเงินเกล็ดหิมะ
เฉินผิงอันไม่ได้เอาเก็บซ่อนไว้ในสมบัติฟางชุ่น แต่พูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งวิชาหมัดที่ข้าเรียนมาก็เน้นย้ำในด้านการรุดไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ไม่อาจพึ่งพิงวัตถุนอกกายมากเกินไปนัก หาไม่แล้วจะกลับกลายเป็นทำให้ปณิธานหมัดของตนไม่รวดเร็วมากพอ ดังนั้นข้าเก็บเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนี้ไว้ก็ไร้ประโยชน์ ขายให้เจ้าแล้วกัน สามร้อยเงินเกล็ดหิมะ เป็นไง?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “อย่าว่าแต่สามร้อยเงินเกล็ดหิมะเลย ต่อให้เป็นหนึ่งพันสองพันเงินเกล็ดหิมะ สมบัติที่ได้แต่ปรารถนาไม่อาจครอบครองแบบนี้ ขอแค่ข้าผู้เป็นนักพรตมีทรัพย์สมบัติติดกาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อเอาไว้ให้ได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ข้าผู้เป็นนักพรตยากจนจะแย่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนอยู่เรือคุนก็คงไม่ถึงขั้นจะกินข้าวให้อิ่มท้องสักมื้อยังเป็นเรื่องยาก”
เฉินผิงอันโยนลูกกลมให้นักพรตจางซานเฟิงเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าติดเงินข้าสามร้อยเกล็ดหิมะแล้วกัน ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธ เจ้าลองคิดดูนะ ด้วยร่างกายที่แค่ตากฝนก็หมดสติของเจ้า วันหน้าหากพวกเราสองคนยังเจอกับภูตผีปีศาจอีก ทีนี้จะสู้กับพวกมันอย่างไร? หากเจ้าสวมเม็ดเสื้อเกราะ ไม่แน่ว่าโอกาสที่พวกเราจะชนะคงเพิ่มขึ้นมาก และถ้าได้รับผลเก็บเกี่ยวก็ล้วนเป็นของข้าทั้งหมด ถือว่าเจ้าชดใช้เงินคืนให้ข้า ตกลงไหม?”
นักพรตหนุ่มถอนหายใจเบาๆ เก็บเม็ดเสื้อเกราะที่ในอดีตแม้แต่ฝันยังไม่กล้าคิดหวังลงไปอย่างระมัดระวัง เขานั่งเคียงไหล่กับเฉินผิงอันบนราวระเบียง เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยกัน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยเรียกเสียงเบา “เฉินผิงอัน…”
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ราวกับว่ามีถ้อยคำมากมาย แต่กลับพูดไม่ออก
เฉินผิงอันเท้ามือสองข้างไว้บนราวระเบียง “เจ้าก็เห็นว่าตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่เจ้าก็ไม่ได้รังเกียจที่ข้าเป็นตัวถ่วงนี่นา”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!