กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 220

สรุปบท บทที่ 220.1: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!

อ่านสรุป บทที่ 220.1 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet

บทที่ บทที่ 220.1 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

กระบี่จงมา – บทที่ 220.1 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ
บทที่ 220.1 ตราประทับภูเขาและแม่น้ำ
โดย
ProjectZyphon
หญิงชรากำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว พอเห็นเฉินผิงอันก็ตกตะลึงเล็กน้อย บุรุษต้องอยู่ห่างจากห้องครัว นี่คือคำสอนของอริยะ แม้จะมีคำกล่าวที่ว่าไม่กินอาหารที่ไม่สด ไม่ใหม่ ไม่สะอาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่าวิญญูชนและนักปราชญ์จะต้องลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง ทว่าเพียงไม่นานหญิงชราก็โล่งใจได้ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เดินทางไปทั่วสารทิศ เคยชินกับการนอนกลางดินกินกลางทราย อีกอย่างเขาก็ดูไม่เหมือนลูกหลานตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ แต่ถึงกระนั้นหญิงชราก็ไม่คิดว่าเฉินผิงอันจะช่วยอะไรได้มาก จึงให้เขาช่วยทำงานเล็กน้อยๆ อย่างคัดเลือกผัก แล้วก็ช่วยดูไฟที่ตุ๋นอาหาร เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานอะไร เพียงแค่ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่นางบอก สุดท้ายในห้องครัวที่อากาศอบอุ่นก็มีเสียงสับผักบนเขียงดังปั่กๆๆ อย่างคล่องแคล่วของหญิงชรา เฉินผิงอันนั่งปอกหน่อไม้อยู่บนม้านั่งตัวเล็ก กลิ่นหอมสดชื่นของพืชหญ้าลอยเข้าจมูกมาเป็นระลอก

หญิงชราถามชวนคุย “คุณชายเฉิน มือซ้ายของเจ้าไปโดนอะไรมา?”

เฉินผิงอันชำเลืองมองมือซ้ายที่พันผ้าฝ้ายของตัวเอง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หกล้มโดยไม่ทันระวัง ไม่เป็นอะไรมาก”

ยากนักกว่าที่หญิงชราจะหาคนมาพูดคุยด้วยได้ จึงพูดยิ้มๆ “ฝนตกพื้นลื่น ทำให้คุณชายได้รับบาดเจ็บแล้ว บ้านหลังนี้ของพวกเราอยู่มานานหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ตกอยู่ในสภาพยากลำบากเพราะถูกพวกเสือและหมาป่ารุมล้อมจ้องเล่นงาน เลยยิ่งไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเข้าไปใหญ่ อย่างมากสุดก็แค่ซ่อมแซมกำแพงบ้านเท่านั้น เวลากลางคืนก็น้อยครั้งนักที่จะแขวนโคมไฟ เพราะกลัวว่าจะทำให้ชาวบ้านตกใจ หลายปีที่ผ่านมานี้จึงไม่กล้าเชิญพวกช่างมาช่วยซ่อมแซมให้ ล้วนเป็นข้าที่ซ่อมเองอย่างส่งเดช แน่นอนว่าฝีมือย่อมไม่น่ามอง ก้อนหินอิฐปูพื้นหลายจุดเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่ราบเรียบ หากไปอยู่ในบ้านของคนตระกูลใหญ่ในเมือง ไม่เพียงแต่คนในบ้านตัวเองที่เห็นแล้วรำคาญตา หากคนบ้านอื่นมาเห็นเข้า คงถูกหัวเราะเยาะตายแน่ แถมยังจะต้องถูกคนเอาไปพูดลับหลัง คำพูดไม่น่าฟังมีหมดทุกรูปแบบ ยังดีที่นายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ นี่ถือเป็นวาสนาของข้า”

น้ำเสียงของหญิงชราราบเรียบ เนิบช้าดุจน้ำนิ่งที่ไหลลึก ระยะเวลาร้อยปีที่ผ่านมา อารมณ์สุขทุกข์เศร้าเบิกบานล้วนตกตะกอนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจนางทีละนิด

นี่คือวาสนาของข้า

นี่น่าจะเป็นข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงที่หญิงชรามีให้กับชีวิตของตัวเอง

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “บ้านหลังนี้มีท่านยายคอยให้ความช่วยเหลือก็ถือเป็นความโชคดีของพวกเขาสองสามีภรรยาเช่นกัน”

หญิงชราอึ้งงันไปเล็กน้อย หันหน้ามาเอ่ยสัพยอกด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ มองดูเหมือนเป็นคนซื่อๆ แต่ทำไมรู้จักพูดขนาดนี้?”

เฉินผิงอันเอาหน่อไม้ทั้งหมดที่ปอกเสร็จแล้ววางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่สะอาดใบหนึ่ง เงยหน้าขึ้นกล่าว “ท่านยาย ที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริงนะ”

หญิงชรามองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นของเด็กหนุ่มแล้ว “อืม” รับหนึ่งคำ ตอนที่หันตัวกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งฉีกกว้างกว่าเดิม ชวนคุยต่ออีกครั้งว่า “คุณชายเฉิน มีผู้หญิงที่ชอบแล้วหรือยัง ผู้หญิงในเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อีเรามีชื่อเสียงด้านความงดงาม หากไม่รีบร้อนเดินทางก็สามารถไปเดินเล่นงานวัด ไม่แน่ว่าอาจจะพบเจอเนื้อคู่ก็เป็นได้ อีกอย่างถึงแม้ว่าวิถีวรยุทธ์ของคุณชายจะไม่สูง แต่หากมาอยู่ในสถานที่เล็กๆ ที่ไม่มีเทพไม่มีเซียนอย่างเมืองแยนจือนี้ก็ไม่ถือว่าเลวร้าย หากยินดีลงหลักปักฐานที่นี่ คิดจะเป็นแม่ทัพนายกองก็เหลือเฟือ ถึงเวลานั้นแต่งงานกับคุณหนูในตระกูลผู้มีความรู้สักคนก็ดีมากไม่ใช่หรือ”

เฉินผิงอันเขินอายเล็กน้อย อึกๆ อักๆ ไม่กล้าต่อบทสนทนานี้

หญิงชราหันหน้ากลับมาชำเลืองมองเด็กหนุ่มที่ใบหน้าคิ้วตาเริ่มปรากฎความหล่อเหลา แล้วยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยเบาๆ ว่า “เข้าใจแล้ว คุณชายเฉินต้องมีผู้หญิงที่รักอยู่แล้วแน่ๆ”

เฉินผิงอันเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยถามหน้าแดงก่ำ “ท่านยาย หากผู้หญิงที่ข้าชอบเคยถามข้าว่าข้าชอบนางหรือไม่ ตอนนั้นข้าบอกว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้จะไปหานางแล้วบอกว่าข้าชอบนาง ท่านว่านางจะคิดว่าข้าเป็นคนขี้โกหกเชื่อถือไม่ได้หรือไม่?”

“คุณชายเฉิน เจ้าพูดวกไปวนมาซะจริง”

หญิงชราหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นึ่งกับข้าวจานหนึ่งทิ้งไว้แล้วนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กข้างเตาไฟ ถามยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงไม่บอกว่าชอบนางล่ะ? เพราะขี้ขลาดหรือว่าลำบากใจ? หรือรู้สึกว่าถ้าพยักหน้าตอบว่าใช่จะขายหน้านาง ก็เลยแสร้งวางตัวเป็นวีรบุรุษ?”

เฉินผิงอันครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วให้คำตอบที่จากใจจริง “ข้าคงโง่กระมัง”

คราวนี้หญิงชราถูกหยอกให้ขำเข้าจริงๆ นางหัวเราะจนใบหน้าแก่ชราดูอ่อนโยนลง “ข้ารู้สึกว่าผู้หญิงที่เจ้าชอบน่าจะไม่โกรธ ผู้หญิงคนหนึ่ง หากมีคนมาชอบ อีกทั้งยังเป็นความชอบแบบบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่งดงามเรื่องหนึ่ง”

เฉินผิงอันงุ่นง่านเล็กน้อย ยกตะกร้าใส่หน่อไม้ไปวางไว้ข้างเตาไฟ “แต่แม่นางคนนั้นบอกกับข้าว่า นางจะชอบแค่เซียนกระบี่ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น…”

หญิงชรากลั้นยิ้ม “โอ้โห ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ เซียนกระบี่ใหญ่จะอย่างไรก็ต้องเป็นเทพเซียนขอบเขตหก คุณชายของข้าพรสวรรค์ดีเยี่ยมถึงขนาดนั้น ในอดีตเคยฝึกตนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่สูงส่งอย่างสำนักโองการเทพก็ยังไม่เคยได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง ไม่ได้กลายเป็นขอบเขตถ้ำสถิตในตำนาน คุณชายเฉิน ยายแก่อย่างข้าขอให้คำแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าลองปรึกษากับแม่นางคนนั้นดูว่าจะเปลี่ยนข้อเรียกร้องจากเซียนกระบี่ใหญ่มาเป็นเซียนกระบี่เล็ก หรือเซียนกระบี่ธรรมดาได้หรือไม่? ขอบเขตถ้ำสถิตสูงเกินไปแล้ว ขอบเขตสี่ ขอบเขตห้าเป็นอย่างไร? ต้องรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้านี้ ต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหนก็ยังมีชีวิตที่สุขสบายมาก ขอบเขตสี่ห้าก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เซียนกระบี่ใหญ่ที่แม่นางหนิงพูดถึง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตสิบสองแน่นอน!

ต่อให้หนิงเหยาจะพูดคุยง่ายอย่างที่คิดไว้ ยอมลดระดับข้อเรียกลงให้ตนจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นขอบเขตเซียนกระบี่อย่างเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะนั่นกระมัง?

เฉินผิงอันถอนหายใจ จู่ๆ ก็เอ่ยเตือนว่า “ท่านยาย กับข้าวสุกแล้ว”

หญิงชรารีบลุกขึ้นยืน เปิดฝาหม้อออก เพียงไม่นานอาหารที่ครบทั้งกลิ่นและสีดูน่ารับประทานก็ถูกตักใส่จาน นางให้เฉินผิงอันยกอาหารจานนั้นไปส่งที่ห้องโถงหลักของเรือนพักชั้นสาม แถมยังบอกกับเขาว่าส่งเสร็จแล้วก็ไม่ต้องกลับมา อยู่กินอาหารที่นั่นไปเลย หลังจากนี้นางจะเป็นคนยกอาหารไปให้เอง เฉินผิงอันวิ่งปรู๊ดจากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เห็นว่าหญิงชราแสร้งทำเป็นโมโห เฉินผิงอันเลยถามยิ้มๆ ว่า “ท่านยาย ข้ามาเอาเหล้า อีกอย่างข้าคุยกับผู้เฒ่าหยางมาก่อนแล้ว เขารับปากว่าจะยกเหล้าให้ข้า…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าขึ้นมาส่าย ยิ้มกว้างสดใส “ใส่ไว้ในนี้ได้จนกว่าจะเต็ม”

ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็สบายใจ อารมณ์แจ่มใส

ในขณะที่เหล้าไหที่สองใกล้จะหมด เสียงร้องโหยหวนของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “พี่ฉู่ พี่ฉู่! เจ้าไปไหนแล้ว อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียวสิ!”

เพียงไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงสะอื้น “นักพรตน้อย เจ้าคนแซ่เฉิน ทำไมพวกเจ้าก็หายไปด้วยล่ะ หรือว่าถูกปีศาจร้ายจับกินจนเกลี้ยงไปหมดแล้ว? ไม่นะ ปีศาจในบ้านหลังนี้ หากเจ้าคิดจะกินคนก็กินไปให้หมดสิ อย่ากินข้าเป็นคนสุดท้าย…”

ตอนนั้นหญิงชรากำลังยกอาหารเข้ามาพอดี จึงเตรียมจะไปปลอบใจลูกหลานตระกูลขุนนางแซ่หลิวเพื่ออธิบายต้นสายปลายเหตุให้เขาฟัง

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืนบอกว่าเขาไปเองดีกว่า หญิงชราคิดแล้วก็รู้สึกว่าถูก หากนางไป เกรงว่าบัณฑิตน่าสงสารคนนั้นคงตกใจจนหมดสติเป็นแน่

ตอนที่บัณฑิตแซ่หลิวถูกเฉินผิงอันพาเดินเข้ามาในเรือนพักชั้นสาม สองขาของเขาสั่นระริก ริมฝีปากซีดเขียว พอเห็นมือดาบเคราดกคนนั้นอาการก็พอจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าพอเห็นรากต้นไม้น่ากลัวที่อ้อมจากประตูด้านหลังเข้ามาในห้องโถงหลัก ดวงตาสองข้างของเขาก็เหลือกขึ้น อีกนิดเดียวจะเป็นลมหมดสติ เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักมือบีบแขนของเขาแรงๆ เขาเจ็บจนได้สติ บัณฑิตหนุ่มหน้ามุ่ยคอตกบ่นพึมไม่หยุด “ให้ข้าเป็นลมหมดสติไปก็ดีแล้วนี่นา”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ไหวจริงๆ ก็ดื่มเหล้าเพิ่มความกล้าซะ จะได้เมาให้หลับไป ความกล้าแค่นี้ อย่างไรก็ควรต้องมีบ้างกระมัง?”

บัณฑิตแซ่หลิวกล่าวอย่างน่าสงสาร “ไม่มีไม่ได้หรือ?”

เฉินผิงอันโมโหจนกลายเป็นขำ พูดจริงจัง “ไม่ได้!”

มองสีหน้าของเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง ดูไม่เหมือนว่ากำลังแสร้งข่มขู่เขา บัณฑิตแซ่หลิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ พูดเหมือนเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง “ดื่มก็ดื่ม! ต่อให้เป็นเหล้าที่ดื่มแล้วตายก็คือเหล้าเหมือนกัน!”

พอไปนั่งที่โต๊ะ บัณฑิตหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองใคร เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว

—–

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!