บัณฑิตแซ่หลิวตอบเสียงสั่น “บิดาของข้าคือเจ้าเมืองเมืองแยนจือ แต่ที่บ้านไม่มีเงินจริงๆ ไม่ถือว่าเป็นลูกหลานคนรวยอะไร”
มือดาบเคราดกไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไม ข้าผู้แซ่สวีหน้าตาเหมือนมหาโจรอย่างนั้นหรือ?!”
บัณฑิตเงยหน้ามองชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเครารกครึ้มแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเหมือนจนเหมือนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
มือดาบเคราดกไม่คิดจะข่มขู่บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้อีกต่อไป แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล “พี่หยาง นักพรตเฒ่าผู้นั้นจะจัดการกับเทพภูเขาเถื่อนจริงๆ หรือ? เขาจะจงใจปล่อยอีกฝ่ายไว้เพื่อสร้างความสะอิดสะเอียนใจให้กับพวกเจ้าหรือเปล่า?”
บุรุษส่ายหน้าเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเรื่องนี้มีอาจารย์อาท่านนั้นคอยจับตามอง ทางฝ่ายนอกของสำนักโองการเทพก็จะต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกกลุ่มที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์จะต้องถูกตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นการทำอย่างรอบคอบและระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือให้จ้าวหลิวตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ”
จู่ๆ หยางหว่างก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “ตอนนี้ข้ากังวลก็แต่ทางฝ่ายเทพภูเขาเถื่อนจะมีที่พึ่ง ด้วยกลอุบายที่มากมายของจ้าวหลิว หากเขาคิดจะใช้ข้ออ้างบอกว่าไม่ยินดีอาศัยกำลังที่มากกว่ามารังแกคนอ่อนแอกว่า จากนั้นก็ไปปรึกษาเรื่องนี้กับขุนนางระดับสูงของเมือง บอกว่าปรึกษา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการช่วยเหลืออย่างลับๆ ถ้าอย่างนั้นก็อันตรายแล้ว หากสุดท้ายจ้าวหลิวสามารถโน้มน้าวให้ราชสำนักและกรมพิธีการของแคว้นไฉ่อีเชื่อ จนพวกเขาเป็นฝ่ายเรียกร้องให้เก็บศาลเถื่อนแห่งนั้นเอาไว้ หรืออาจถึงขั้นเปลี่ยนตำแหน่งเขาให้กลายเป็นเทพภูเขาที่ถูกต้อง กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่แถบหนึ่งอย่างแท้จริง แบบนั้นต้องยุ่งยากมากแน่ แม้จะบอกว่าเทพแห่งห้าขุนเขาของแคว้นไฉ่อีไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับเทพประเภทเดียวกันของแคว้นอื่นๆ มีเพียงอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหกถึงจะสามารถสำแดงศักยภาพที่แท้จริงของขอบเขตชมมหาสมุทรของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรเจ้าคนแซ่ฉินผู้นั้นก็เป็นเทพภูเขาที่มีร่างทองคำแล้ว ขอแค่จ้าวหลิวแอบช่วยให้เขาได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ ไม่แน่ว่าก็อาจจะมีศักยภาพเป็นขอบเขตถ้ำสถิตก็ได้ เซียนซือที่มาจากสำนักโองการเทพ แค่พูดง่ายๆ ไม่กี่คำ ฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีก็จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีแล้ว”
เขากล่าวจบ มือดาบเคราดก นักพรตเต๋าจางซานเฟิงและเฉินผิงอันก็หันขวับไปมองบัณฑิตที่ตัวสั่นเทาแทบจะพร้อมเพรียงกัน
บัณฑิตหนุ่มมึนงงเล็กน้อย เทพห้าขุนเขา เทพภูเขาเถื่อน ขอบเขตชมมหาสมุทร ขอบเขตถ้ำสถิตอะไรพวกนั้น เขาฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว จึงกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “บิดาข้าเป็นแค่เจ้าเมืองระดับสี่ เทพภูเขาไม่เทพภูเขาอะไร บิดาข้าคงไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
มือดาบเคราดกเอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ไม่ได้จะให้บิดาเจ้าช่วย แค่ป้องกันไม่ให้เขาช่วยให้เสียเรื่องก็พอ พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าจะกลับไปเมืองแยนจือพร้อมกับเจ้า ควบม้าเร็วไปพบท่านเจ้าเมือง ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้จ้าวหลิวผู้นั้นชิงลงมือก่อนไม่ได้ เชื่อว่าขอแค่จ้าวหลิวได้เห็นข้าผู้แซ่สวีในจวนเจ้าเมืองต้องเข้าใจได้เอง รู้ว่าแผนการที่เขาวางไว้ใช้ไม่ได้ ต่อให้ใช้ได้ก็ต้องระวังกลัวว่าพวกเราจะไปโวยวายที่สำนักโองการเทพ เหมือนที่พวกชาวบ้านไปตีกลองร้องทุกข์หน้าที่ว่าการ ปากก็พร่ำร้องตะโกนขอให้สวรรค์ช่วยทวงคืนความเป็นธรรม”
กล่าวมาถึงช่วงท้าย มือดาบเคราดกก็หัวเราะร่าเสียงดัง
ผีชางหยางหว่างลุกขึ้นยืน กุมมือคารวะ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอขอบคุณพี่สวีก่อนแล้ว!”
สีหน้าของมือดาบเคราดกเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งคำแล้วกล่าวอย่างอัดอั้น “พี่สวีอะไรกัน ข้าอายุขนาดนี้ให้เป็นหลานชายเจ้าก็ยังแก่เกินไป!”
หยางหว่างหัวเราะร่าเสียงดัง “วีรบุรุษไม่ถามเรื่องชาติกำเนิด สหายไม่พูดคุยเรื่องอายุ!”
แม้แต่ผีสาวก็ยังหลุดเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากผ้าคลุมหน้า
ทำเอาความกล้าหาญน้อยนิดที่บัณฑิตขี้ขลาดรวบรวมขึ้นมาได้อย่างยากลำบากปลิวหายกระเจิดกระเจิง ตกใจหน้าซีดขาวเพราะ ‘เสียงที่เศร้าเคล้าสุข’ นี้ของนาง
คืนนั้นนักพรตหนุ่มดื่มเหล้าจนเมามาย แต่บัณฑิตที่ชื่อว่าหลิวเกาหวากลับไม่กล้าดื่มมากนัก ด้วยกลัวว่าหากเมาพับไปจะไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้อีก สุดท้ายคนทั้งสี่ไปพักอยู่ในเรือนชั้นที่สองด้วยกัน เฉินผิงอันกับจางซานเฟิงพักอยู่ในห้องอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนบัณฑิตกับมือดาบพักอยู่ห้องติดกัน
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบ
ตอนที่ฟ้าสาง จางซานเฟิงลุกขึ้นมาเปิดประตูก็เห็นว่าเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินนิ่งอยู่ในลานบ้าน เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่เพิ่งรู้จักกัน รู้สึกว่าการเดินของเขายิ่งช้ามากขึ้นเรื่อยๆ
กินอาหารเช้าที่หญิงชราเตรียมไว้ให้ คนทั้งสี่ก็พากันบอกลาแล้วจากไป เพราะว่าดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงแล้ว เจ้าบ้านชายหญิงไม่ชอบแสงแดด จึงไม่ได้เดินออกมาส่งนอกประตู เพียงยืนบนหอซิ่วโหลว โบกมืออำลา
มือดาบเคราดกหาวหวอด หรี่ตามองแสงแดดที่เริ่มแยงตามากขึ้นเรื่อยๆ พลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน “วันใหม่อีกวันหนึ่งแล้ว”
นักพรตจางซานเฟิงกำลังพูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเมืองแยนจือกับบัณฑิตหลิวเกาหวา หลังเดินออกมาจากบ้านโบราณหลังนั้น หลิวเกาหวาก็สดชื่นขึ้นราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เหมือนถูกฉีดเลือดไก่ พูดจ้อไม่หยุด คุยกับนักพรตหนุ่มอย่างถูกคอ
เฉินผิงอันพลันหันกลับไปมองทางธรณีประตู พูดกับหญิงชราเบาๆ ว่า “ท่านยาย ถ้าหาก ข้าบอกว่าถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านสามารถส่งจดหมายไปยังเมืองหลงเฉวียนของต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุด ส่งไปหา…คน…ที่ชื่อว่าเว่ยป้อ บอกไปว่าพี่ใหญ่หยางหว่างคือสหายของข้า เฉินผิงอันติดค้างสุราดีๆ ของพวกท่านไว้มาก”
หญิงชราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้
ความหวังดีบางอย่างก็เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องท่ามกลาอากาศเหน็บหนาวของฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่ามีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ทำไมต้องปฏิเสธด้วยเล่า?
เฉินผิงอันยื่นมือมอบเงินเกล็ดหิมะเจ็ดแปดเหรียญไปให้อีกฝ่าย “หลงเฉวียนต้าหลีกับแคว้นไฉ่อีอยู่ห่างไกลกันมาก ถึงเวลาท่านยายก็เอาเงินนี้ไว้ใช้ส่งจดหมาย”
บ้านหลังนี้เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดของหยางหว่างจนหมดสิ้นไปนานแล้ว พวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างอัตคัดขัดสน เป็นเหตุให้แม้แต่สุราก็ยังต้องหมักกันเอง ส่วนอาหารก็ล้วนเป็นหญิงชราที่ไปหาเก็บมาจากที่ไกลๆ
หญิงชราลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับเงินเกล็ดหิมะพวกนั้นเอาไว้
การส่งจดหมายไปยังราชวงศ์ต้าหลีซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงินไม่น้อย แต่ไม่มีทางมากถึงขนาดที่เด็กหนุ่มมอบให้แน่นอน
แต่เด็กหนุ่มกลับยัดเงินกำนั้นมาให้เหมือนพวกมันเป็นเงินเหรียญทองแดงที่พวกชาวบ้านใช้กัน เงินกำเล็กๆ นี้ไม่มากไม่น้อย หากปฏิเสธหรือแสร้งรับมาแค่ไม่กี่เหรียญ ก็อาจดูเหมือนไม่รับน้ำใจอีกฝ่าย หรือไม่ก็ไร้เหตุผลเกินไป นางจึงรับมาไว้อย่างตรงไปตรงมา เพราะนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการติดค้างน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าอะไร
หญิงชราพลันทอดถอนใจ อายุน้อยแค่นี้ก็รู้จักใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น ไม่รู้ว่าตอนเด็กต้องลำบากมามากขนาดไหนถึงรู้จักแยกแยะได้อย่างถูกต้องเหมาะสมขนาดนี้
นักพรตจางซานเฟิงหันมากวักมือเรียกยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ไปกันได้แล้ว!”
เฉินผิงอันตอบรับหนึ่งคำ จากนั้นก็บอกลากับหญิงชรา วิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็หันมองไปทางหอซิ่วโหลว ตะโกนเสียงดังว่า “ในหนังสือบอกไว้ว่า ขอให้คนรักกันได้ครองเรือนเคียงคู่กันในท้ายที่สุด!”
ผีชางและผีสาวที่อยู่บนหอซิ่วโหลวหันมาส่งยิ้มรู้ใจให้แก่กัน
แม้ว่าสองสามีภรรยาจะไม่ใช่ “คน” มานานแล้ว แต่นี่จะเป็นอะไรไปเล่า
เด็กหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกรอบไม้ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าวิ่งถอยหลังไปทั้งอย่างนั้น โบกมือบอกลากับหญิงชราอีกครั้ง “ท่านยาย ท่านทำหน่อไม้ผัดเนื้อได้อร่อยสุดๆ ไปเลย! คราวหน้าข้าจะมาหาใหม่นะ!”
หญิงชรายืนอยู่ตรงหน้าประตู คลี่ยิ้มอ่อนโยน มองเด็กหนุ่มที่ร่างอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงแดดแล้วถอนหายใจเบาๆ
……
คนทั้งกลุ่มมาถึงจวนเจ้าเมืองของเมืองแยนจือ ตัวใต้เท้าเจ้าเมืองกำลังจัดการกิจธุระอยู่ในห้องทำงาน มือดาบเคราดกกับนักพรตจางซานเฟิงนั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เรียบง่ายสง่างาม ดื่มน้ำชาที่สาวใช้ยกมาวางให้ ส่วนหลิวเกาหวานั้นพาเฉินผิงอันไปยังห้องหนังสือของบิดาเขา ทำท่าลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย เพราะเฉินผิงอันขอแผนที่เมืองแยนจือจากเขา แถมยังต้องเป็นฉบับที่มีตราประทับจากทางราชสำนักด้วย แม้ว่าหลิวเกาหวาจะไม่เข้าใจ แต่พอนึกถึงว่าครั้งนี้สามารถรอดชีวิตออกมาจากบ้านโบราณได้ แถมยังได้พบเจอภูตผีปีศาจกับตาตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้นั่งดื่มสุราร่วมโต๊ะกับนาง พอคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเกาหวาก็พลันห้าวเหิม เห็นใครก็ถูกตาไปหมด จึงตบอกตอบรับว่าจะช่วยเฉินผิงอันขโมยแผนที่ลักษณะชัยภูมิเมืองแยนจือของแคว้นไฉ่อี ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันจ่ายเงินให้เขาถึงห้าสิบตำลึง เดิมทีหลิวเกาหวาอยากจะเอ่ยถ้อยคำประมาณว่าสหายที่ร่วมทุกข์ด้วยกันมา พูดเรื่องเงินๆ ทองๆ จะทำร้ายความสัมพันธ์ แต่พอเงินหนักๆ เข้ามาอยู่ในมือก็พลันรู้สึกว่าทำร้ายความสัมพันธ์ก็ทำร้ายไปเถอะ ถึงอย่างไรหลังจากนี้ก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีกแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!