หลังจากขโมยแผนที่ของบิดาตัวเองแล้ว หลิวเกาหวาที่เป็นขโมยขึ้นบ้านตัวเองก็คล้ายวัวสันหลังหวะ รู้สึกว่าเงินห้าสิบตำลึงร้อนลวกมือ อยากจะชดเชยให้บ้าง จึงทิ้งแขกอย่างพวกมือดาบเคราดกสามคนไว้ในห้องรับแขก ส่วนตัวเองวิ่งไปที่ห้องทำงานบิดา บอกว่าการเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ของตนได้พบเทพเซียนที่ถูกกล่าวถึงในตำรา ชายฉกรรจ์เคราดกคนหนึ่งในนั้นคือจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ ต่อให้ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด และยังมีจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์อีกท่านหนึ่ง ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อ มีความรู้ลึกซึ้ง สังหารปีศาจกำราบมารได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ยกมือ สุดท้ายคนที่แซ่เฉินก็ยิ่งร้ายกาจ อย่าเห็นว่าหน้าตาเขาเหมือนเด็กหนุ่ม เพราะอันที่จริงอายุมากถึงแปดสิบเก้าสิบปีแล้ว เพียงแต่ว่า ‘ฝึกตนประสบความสำเร็จ จึงมีโฉมหน้าอ่อนเยาว์’ เท่านั้น
คำคุยโวของหลิวเกาหวาผู้เป็นบุตรชายทำเอาใต้เท้าเจ้าเมืองเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แฝงไว้ด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย จึงพากุนซือของจวนที่มีความรู้กว้างขวางผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขกด้วยกัน ผลคือท่านเจ้าเมืองรู้สึกผิดหวังอย่างมาก บุรุษไม่เห็นเคยภูตผีปีศาจมาก่อนก็จริง แต่สายตาในการมองคนไม่ได้แย่ หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ นั่งลงดื่มชาได้ถ้วยหนึ่งก็หมดสิ้นซึ่งความสนใจ บอกให้หลิวเกาหวารับรองแขกทั้งสามท่านให้ดี จากนั้นก็หาข้ออ้างกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเอง
ตลอดทางที่เดินไป เจ้าเมืองหลิวส่ายหัวไม่หยุด “จอมยุทธ์ใหญ่ เทียนซืออะไรกัน ไม่เห็นจะสมชื่อ ต้มตุ๋นหลอกลวงมาถึงจวนข้า ช่างใจกล้าเทียมฟ้าซะจริง หากหลังจากนี้พวกเขากล้าเสนอข้อเรียกร้อง ข้าผู้เป็นขุนนางจะให้พวกเขาต้องเปลี่ยนมาสวมชุดนักโทษ กินข้าวแดงกันเสียให้อิ่ม”
กุนซือเฒ่าเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “คงไม่ถึงขนาดมาขอกินฟรีดื่มฟรีหรอก นักพรตหนุ่มกับเด็กหนุ่มสะพายกรอบไม้นั้นยังบอกไม่ได้ แต่มือดาบผู้นั้นมีความสามารถที่แท้จริงอยู่หลายส่วน องค์รักษ์ของจวนต้องไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน ใต้เท้าหลิว ต้องรู้ว่าก่อนที่ข้าจะเข้ามาอยู่ในจวน เคยมีประสบการณ์ในยุทธภพมายี่สิบกว่าปี เคยพบเจอปรมาจารย์แห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงมาหลายคน ทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อีเรามียอดฝีมือน้อยจนนับนิ้วได้ หากพูดกันแค่ด้านบุคลิกท่าทางแล้ว ชายฉกรรจ์เคราดกคนนั้นก็ไม่เป็นรองแม้แต่น้อย สายตาคมกริบ ลักษณะดุดันทรงอำนาจ”
เจ้าเมืองพยักหน้ารับ “ฟังเจ้าพูดอย่างนี้ก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
กุนซือเฒ่าเตือนเสียงเบา “ใต้เท้าหลิว ท่านลองคิดดูนะ แม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้คือปรมาจารย์ขอบเขตสี่ที่ได้รับการยอมรับจากผู้คน พวกเราเคยเห็นเขาไกลๆ ในงานเลี้ยง ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าต่อให้เขาจะแค่ดื่มเหล้าหรือพูดคุยกับคนอื่นก็มีพลังอำนาจน่าเกรงขามโดยไม่ต้องแสดงความโกรธ เห็นแล้วน่าตกใจมาก ลองมาย้อนนึกดูอย่างละเอียด จอมยุทธ์ที่เรียกตัวเองว่าแซ่สวีคนนั้นก็มีลักษณะคล้ายเขาอยู่หลายส่วนไม่ใช่หรือ?”
เจ้าเมืองหลิวขมวดคิ้ว “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือควรจะผูกมิตรไว้สักหน่อย? แต่ได้ยินมาว่าการคบค้าสมาคมกับคนในยุทธภพต้องทุ่มทองเป็นพันตำลึงถึงจะถือว่าใจกว้างมากพอ หากเอาเงินแค่ไม่กี่ตำลึงมาให้เป็นค่าเดินทางกลับไม่เพียงไม่ถูกมองว่าเป็นน้ำใจ ยังกลายเป็นการหมิ่นเกียรติ เท่ากับว่าล่วงเกินพวกชาวยุทธ์เหล่านั้น ข้าเป็นขุนนางมือสะอาดมัธยัสถ์ ไม่มีทรัพย์สมบัติเหลือพอจะเอามาใช้ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดีล่ะ? หรือว่าจะต้องไปขอยืมเงินจากพวกคนรวยในเมือง?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ขุนนางผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรในเมืองนี้ก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “หากเป็นความสัมพันธ์ที่มีแต่กลิ่นเงินแบบนี้ ข้าไม่เห็นจะต้องการ”
ทัศนคติที่บัณฑิตมีต่อคนในยุทธภพ โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีตำแหน่งขุนนาง แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจยังคงมีความดูแคลนอยู่
กุนซือเฒ่าถอนหายใจอยู่ในใจ ความสัมพันธ์ในยุทธภพที่มาเยือนถึงบ้านตัวเอง เจ้าเมืองหลิวผู้นี้ก็ยังรับไว้ไม่อยู่ ก็ไม่แปลกที่แม้จะเขียนบทความได้ดี แต่กลับยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับสี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้คุมสอบของเจ้าเมืองหลิวเอง ตอนนี้ก็ยังเป็นได้แค่ขุนนางระดับกงในแคว้นไฉ่อีเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นเขาที่ได้เป็นเจ้าเมือง อย่าว่าแต่ยืมเงินกับคนรวยเลย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็จะไม่เสียดายแม้แต่น้อย สมมติว่ามือดาบเคราดกคนนั้นคือยอดฝีมือขอบเขตสามระดับปรมาจารย์น้อยในยุทธภพ ขอแค่ผูกความสัมพันธ์ไว้ได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ทำได้ใต้โต๊ะก็มีถมเถไป อีกอย่างคำว่าน้ำใจที่มีให้กัน หากไม่มีการไปมาหาสู่จะไปเอาน้ำใจจากไหนมามอบให้กัน คิดจะให้คนอื่นเป็นฝ่ายขอร้องตัวเองเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่วิถีแห่งการเป็นขุนนางเสียหน่อย ในเมื่อรู้จักกับตระกูลเศรษฐีในเมือง ยืมเงินแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงจะทำให้ท่านเจ้าเมืองหลิวเสียหน้ามากนักหรือ? ผิดแล้ว ต้องบอกว่าเจ้าช่วยให้คนครอบครัวนั้นมีหน้ามีตาต่างหาก เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้เจ้าเมืองหลิวไม่ชอบฟัง ด้วยรู้สึกว่าเป็นการหยามเกียรติ กุนซือเฒ่าเคยพูดครั้งสองครั้งจึงพอจะรู้แกว
พอคิดมาถึงตรงนี้ กุนซือเฒ่าก็ให้รู้สึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกครั้ง วงการขุนนางเลื้อยลดคดเคี้ยวขนาดนี้ แล้วในยุทธภพจะไม่ใช่ได้อย่างไร? ก่อนหน้าที่เขาจะเปลี่ยนชื่อแซ่ อันที่จริงเคยเป็นที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์คนสนิทของผู้นำกลุ่มยุทธภพทางทิศใต้ของแคว้นไฉ่อี ถือคติมีบุญคุณต้องตอบแทน มีแค้นต้องชำระก็จริง แต่ที่มากกว่านั้นคือรู้ว่าเรื่องราวบนโลกยิบย่อยเหมือนเส้นขน ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ห้าวหาญ เปี่ยมไปด้วยปณิธานยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ผ่านไปเพียงไม่กี่ปีพลังเหล่านั้นก็ถูกเผาผลาญกล่อมกลืนจนหมดสิ้น ปีนั้นท่านผู้นำเฒ่าเคยองอาจเกรียงไกรถึงเพียงนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นแค่คนที่บ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
หลังจากที่เจ้าเมืองหลิวจากไปด้วยท่าทีเฉยเมย หลิวเกาหวาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย บวกกับเรื่องที่ที่นี่คือจวนของเจ้าเมือง แต่กลับยากจนถึงขนาดหาห้องมารับรองแขกสักห้องสองห้องยังไม่ได้ มือดาบเคราดกจึงให้หลิวเกาหวาพาไปพักที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ที่สุด ขอแค่นักพรตเฒ่าของสำนักโองการเทพเข้ามาที่จวนเจ้าเมืองจะต้องรีบแจ้งพวกเขาสามคนทันที หลิวเกาหวารับปากอย่างกระตือรือร้น
เพราะสถานที่แห่งนี้ทำเลดี อีกทั้งยังเป็นร้านเก่าแก่ กิจการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงรุ่งเรืองดีมาก ยังดีที่บุตรชายของเจ้าเมืองพอจะมีคนนับหน้าถือตาอยู่บ้าง เจ้าของโรงเตี๊ยมจึงจัดห้องให้สามห้อง อีกทั้งยังไม่กล้าคิดราคา ส่วนหลิวเกาหวาก็รับน้ำใจนี้ไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ตระหนักถึงความเสียดายอย่างสุดซึ้งของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเลย นี่ทำให้มือดาบเคราดกที่มองดูอยู่รู้สึกขำ แม้แต่นักพรตจางซานเฟิงก็ยังส่ายหน้า
เรื่องราวบนโลกมนุษย์และน้ำใจของคนก็คือความรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน ความรู้เหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเขียนไว้ในหนังสือของอริยะ แต่เมื่อมาอยู่ในยุทธภพ เฉินผิงอันเห็นอยู่ในสายตา จดจำไว้ในหัวใจ
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็มีเรื่องแบบนี้เช่นกัน
คนทั้งสามพูดคุยกันอยู่ในห้องของชายฉกรรจ์เครารก ตอนที่คุยกันเรื่องของบ้านโบราณก็พูดไปถึงยันต์เทพเดินทางของจางซานเฟิง หลังจากสวีหย่วนเสียถามถึงราคาของมัน แล้วได้รู้ว่ามันแพงขนาดนั้น ก็ให้รู้สึกผิดต่อนักพรตจากกุรุทวีปคนนี้จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า การกำจัดปีศาจปราบมารในครั้งหน้าจะต้องให้มีผลเก็บเกี่ยวถึงจะได้ แม้ว่าจางซานเฟิงจะยากจนจนเกิดเป็นความกลัว แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าหรือโทษคนอื่นแม้แต่คำเดียว นี่ทำให้สวีหย่วนเสียต้องหันมามองเขาใหม่ ชายฉกรรจ์รู้ว่าบนเส้นทางของการฝึกตน การสั่งสมทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกลมปราณสำคัญมากแค่ไหน สวีหย่วนเสียที่บุกเหนือล่องใต้รู้กฎเกณฑ์บางอย่างของตระกูลเซียนบนภูเขาอย่างละเอียด ผู้ฝึกลมปราณฝึกไปฝึกมา ต้องฝึกตบะฝึกจิตใจ ที่มากกว่านั้นคือฝึกหาเงินหาทอง หากนักพรตหนุ่มมีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงยากที่จะเดินไปบนจุดสูงได้ ต่อให้จิตใจดีงามแค่ไหนก็ทนการทรมานที่เหมือนถูกหั่นเนื้อด้วยมีดทื่อเช่นนี้ไม่ได้
หลังผ่านการพูดคุยกันอย่างสบายๆ เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เข้าใจกับทัศนียภาพของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างอย่างเป็นรูปธรรม
คราวก่อนที่เดินทางกลับจากต้าสุยพร้อมกับ ‘ลูกศิษย์’ อย่างชุยฉาน เพราะตอนนั้นหลินโส่วอีถือเป็นเทพเซียนบนภูเขาครึ่งตัวแล้ว เฉินผิงอันจึงค่อนข้างสงสัยใคร่รู้ มีครั้งหนึ่งที่คนทั้งสองคุยเล่นกัน เฉินผิงอันก็เป็นฝ่ายถามถึงเรื่องการฝึกลมปราณอย่างที่หาได้ยาก
ผลกลับกลายเป็นว่าตอนนั้นเด็กหนุ่มชุยฉานเหลือกตาใส่เขาโดยตรง พร้อมกับเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ห้าขอบเขตล่าง? มีแต่พวกขยะทั้งนั้น พูดไปก็น่าเบื่อ ถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่งของอาจารย์ อาจารย์ พวกเรามาคุยถึงห้าขอบเขตบนกันดีไหม? นึกถึงปีนั้นที่ดีๆ ชั่วๆ ศิษย์อย่างข้าก็เป็นถึงขอบเขตสิบสอง…
ตอนนั้นเฉินผิงอันค่อนข้างจะอคติกับเขา จึงไม่เต็มใจจะฟังเด็กหนุ่มชุดขาวคุยโวโอ้อวด จึงลุกขึ้นเดินไปฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ไกลๆ
ตอนนี้เฉินผิงอันมาย้อนนึกดู สิ่งที่เขาทำไปเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวเองของชุยฉานมากเกินไปหรือเปล่า? เซียนที่ ‘ดีๆ ชั่วๆ’ ก็เคยอยู่ในขอบเขตสิบสองมาก่อน และยังเคยเล่นหมากล้อมท่ามกลางชั้นเมฆหลากสีกับเจ้านครจักรพรรดิขาว…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!