หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป เด็กชายชุดเขียวที่ไม่มีคนให้คอยเปรียบเทียบ อีกทั้งอากาศหนาวของฤดูใบไม้ผลิยังเริ่ม ถดถอยหายไป แสงอาทิตย์ในแต่ละวันอบอุ่นชวนให้คนรู้สึกสบาย เขาจึงเริ่มเกียจคร้านในการฝึกตน เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเคยเอ่ยเตือนเขาสองครั้ง เด็กชายชุดเขียวกลับพูดจามีเหตุมีผล บอกว่านี่เรียกว่าการรู้จักยืดหยุ่น ค่อยๆ สั่งสมแล้วเอาออกมาใช้ทีละน้อย จะเรียกว่าสามวันตกปลา สองวันตากแหไม่ได้
วันนี้หลังจากที่เว่ยป้อมาถึงเรือนไม้ไผ่อีกครั้ง เด็กชายชุดเขียวก็เดินตามหลังเขาไปต้อยๆ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะถามอย่างไร เว่ยป้อก็บอกแค่ว่าให้เขาตั้งตารอดู ไม่ยอมเปิดเผยความจริงให้เขารู้ ทำเอาเด็กชายชุดเขียวรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ อยากจะเผยร่างจริงกระโดดลงน้ำไปพลิกใต้บ่อดูเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่ว่ากริ่งเกรงในสถานะและตบะของเว่ยป้อ รวมไปถึงนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวลแต่ซ่อนใบมีดไว้ใต้รอยยิ้มของเทพขุนเขาเหนือผู้นี้ งูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงถึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้นอกจากจะต้องพึ่งพิงอยู่ใต้ชายคาคนอื่นแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งให้อึดอัดไม่สบายใจ
วันนี้เว่ยป้อก็ยังมานั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำ จ้องมองการไหลรินของน้ำเล็กๆ น้อยๆ ในบ่อ น้ำในบ่อแห่งนี้เหมือนน้ำตาย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ รากฐานของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าลูกนี้ไม่ได้อยู่ที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขา แต่รากฐานของภูเขาอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ โชคชะตาแม่น้ำก็อยู่ในบ่อน้ำตรงหน้าบ่อนี้ เดิมทีเทพภูเขาซ่งอวี้จางก็แตกหักกับทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือผู้นี้ไปแล้ว บวกกับที่เขาคือขุนนางที่ค่อนข้างจะคร่ำครึ ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทุ่มชีวิตทำงานถวายหัวให้แก่ต้าหลี จึงนำเรื่องนี้ไปรายงานให้กรมพิธีการและกองโหราศาสตร์ทราบอย่างละเอียด คำตอบที่ได้รับมากลับเป็นการบอกให้เขาปิดปากให้สนิท ห้ามแพร่งพรายแก่ใคร ในเมื่อเป็นความต้องการของราชสำนักต้าหลี ซ่งอวี้จางก็ไม่คิดจะตอแยอีก ส่วนเรื่องที่ตบะของเขาถูกพันธนาการ ไม่สามารถควบคุมภูเขาลั่วพั่วทั้งลูกได้เพราะสาเหตุนี้ ซ่งอวี้จางกลับไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างซ่งอวี้จางกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างเว่ยป้อกลับยิ่งห่างเหินกันทุกขณะ
เด็กชายชุดเขียวเองก็นั่งยองอยู่ริมบ่อน้ำเหมือนกัน เขาไม่รู้เลยว่าน้ำใสในบ่อแห่งนี้ถูกย้ายมาจากไหน แต่ด้วยสถานะของเว่ยป้อ ขอแค่อยู่ในขอบเขตการปกครองของ ‘ขุนเขาเหนือต้าหลี’ ย้ายภูเขาเคลื่อนแม่น้ำถือเป็นเรื่องง่ายเหมือนยกฝ่ามือ
เด็กชายชุดเขียวนั่งมองน้ำใสในบ่อตาปริบๆ ได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่อาจมองหาเบาะแสใดๆ เจอ เขาสัมผัสไม่ได้สักนิดเลยว่าทั้งๆ ที่อยู่ในถิ่นของตัวเองแท้ๆ เว่ยป้อที่นั่งยองอยู่ข้างกายกลับมีสีหน้าเกร็งทื่อเคร่งเครียด เม็ดเหงื่อซึมเต็มหน้าผาก จะลุกขึ้นยืนก็ลุกไม่ได้เหมือนมีขุนเขากดทับลงบนบ่า
เวลาเหมือนสายน้ำที่ไหลผันผ่าน เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายเต็มทนอ้าปากหาวหวอด นั่นถึงทำให้เขาสังเกตเห็นว่าข้างกายเว่ยป้อมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ เขายืนค้อมเอว สองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีจ้องน้ำในบ่อ เขาสวมชุดคลุมนักพรตเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว อายุยังน้อย หน้าตาถือว่าหล่อเหลา เพียงแต่รอยยิ้มค่อนข้างเจ้าเล่ห์ แค่มองก็รู้แล้วว่าน่าจะเป็นพวกที่ใช้ข้ออ้างขอดูลายมือเพื่อฉวยโอกาสจับมือสาวๆ หากเป็นเหมือนก่อนตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียง ด้วยนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหของเด็กชายชุดเขียว คงบอกให้นักพรตหนุ่มคนนี้ไสหัวไปไกลๆ แล้ว เพียงแต่ว่ามาอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ผ่านลมผ่านฝนมากหลายครั้ง เด็กชายชุดเขียวจึงสำรวมขึ้นเยอะมาก กระนั้นพอคิดว่าข้างกายของตนคือทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือที่มีร่างทองเปล่งประกาย ในเรือนไม้ไผ่ยังมีปรมาจารย์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ซึ่งน่ากลัวอย่างถึงที่สุดอยู่อีกท่านหนึ่ง เรายังต้องกลัวอะไรอีก?
เด็กชายชุดเขียวจึงรีบลุกขึ้นยืน กระแอมให้คอโล่ง “นี่ๆๆ นักพรตท่านนี้ ทำไมถึงไม่มีมารยาทเอาซะเลย บุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวทักทาย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าคือเจ้าของภูเขาลูกนี้ทั้งลูก? อีกอย่างใกล้ๆ กับเรือนไม้ไผ่ยังมีงูดำตัวใหญ่ที่ดุร้ายอยู่อีกตัว มันชอบกินคนมากที่สุด ที่เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ ต้องขอบคุณที่นายท่านใหญ่อย่างข้าคอยเกลี้ยกล่อมงูดำตัวนั้นด้วยความหวังดีทุกวันว่าต้องกินเจ ต้องกินเจ หาไม่แล้วตอนนี้เจ้าก็คง…หึหึ!”
เด็กชายชุดเขียวยกสองแขนขึ้นกอดอก เชิดจมูกขึ้นสูง
แต่ในใจกลับหัวเราะเสียงดัง วะฮะฮ่า อดทนอดกลั้นมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็เจอกับคนธรรมดาที่ตนสามารถดุด่าสั่งสอนได้แล้ว! ไม่ง่ายเลยจริงๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ เด็กชายชุดเขียวยิ่งมองนักพรตหนุ่มคนนั้นก็ยิ่งถูกชะตา แทบจะเอ่ยเรียกเขาเป็นพี่เป็นน้องกับตน
“แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าข้าผู้เป็นนักพรตได้พึ่งใบบุญของเจ้าน่ะสิ ถึงได้รอดพ้นหายนะมาได้” นักพรตหนุ่มยิ้มสดใส รีบเอ่ยขอบคุณ
เมื่อท่าทางเช่นนี้ของนักพรตแปลกหน้าปรากฏอยู่ในสายตาของเด็กชายชุดเขียว เขาก็ให้รู้สึกว่าพี่ชายผู้นี้จริงใจกว่าเว่ยป้อที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่เหมือนสำลีซ่อมเข็มมากนัก แต่หลังจากเด็กชายชุดเขียวมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน พอถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี เห็นต้นไม้ใบหญ้าก็หวาดระแวงไปหมด จึงมองประเมินนักพรตอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีกลิ่นอายของผู้ฝึกลมปราณแม้แต่น้อย เขาก็ดีใจจนเกือบน้ำตาคลอเบ้า เดินอาดๆ เข้าไปหาแล้ว แล้วกระโดดสูงตบไหล่ของนักพรตหนุ่มหนึ่งที “ขอบคุณอะไรกัน ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันนายท่านผู้เฒ่าของข้าจะลงจากเขาไปได้บอกไว้แล้วว่า ตอนที่เขาไม่อยู่บ้าน ข้าต้องแบกรับภาระสำคัญ ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ในฐานะที่เจ้าเป็นแขก ข้าจะปล่อยให้เจ้าตกใจขวัญเสียได้อย่างไร”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยืนอยู่หลังหน้าต่างบนเรือนไม้ไผ่เห็นภาพนี้เข้าก็หัวเราะเสียงดัง “ถ้าเจ้าแน่จริงก็ตบไหล่นักพรตท่านนี้อีกครั้งสิ”
ในใจเด็กชายชุดเขียวเกิดความระแวง เงยหน้ามองนักพรตหนุ่มคนนั้นหันไปมองผู้เฒ่าวิปลาสที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองอีกหลายที แล้วค่อยหันมามองนักพรตที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ถามหยั่งเชิงว่า “พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ เจ้าเป็นเจินเหรินใหญ่ขอบเขตสิบ หรือเทียนจวินขอบเขตสิบเอ็ดสิบสองของลัทธิเต๋า?”
นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
เด็กชายชุดเขียวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่ชายท่านนี้ พวกเราต่างก็เป็นคนในยุทธภพ ไม่ว่าวัยวุฒิจะสูงต่ำ ตบะจะลึกล้ำหรือตื้นเขิน ต่างก็พิถีพิถันในเรื่องการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ห้ามโกหกคนอื่นเด็ดขาดเลยนะ?”
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ “ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ”
ต่ำกว่าขอบเขตสิบ อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ตนเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ยังมีเว่ยป้อกับผู้เฒ่าเสียสติไม่ใช่หรือ หากยังหวาดผวาเกรงกลัวอยู่อีกก็ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!