ชายฉกรรจ์ก้มหน้าดื่มเหล้าเงียบๆ หลังจากเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็กระตุกมุมปาก “คนที่ตายไปแล้ว ข้าไม่รู้ แต่คนที่ยังมีชีวิตอยู่เสียใจทีหลังแทบตายอยู่แล้ว”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่มือดาบผู้มีความห้าวหาญเต็มอ้อมอกไม่ห้าวหาญเหมือนที่เคย
เฉินผิงอันไม่ได้พูดว่าจะอยู่ต่อหรือจากไปโดยตรง
ตอนนั้นที่พวกพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไกลไปศึกษาต่อที่ต้าสุย ทุกเรื่องต้องให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจก็เพราะเขาจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ไม่มีพื้นที่เหลือให้เขาแสดงความขลาดกลัวและลังเล
ตอนนี้เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นเสมอไปอีกแล้ว
ส่วนจางซานเฟิงนั้นทำอะไรไม่ถูก เขาเหลียวซ้ายแลขวา เอ่ยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
สวีหย่วนเสียจมอยู่ในภวังค์ของความเงียบ ยกเหล้าขึ้นดื่มคำแล้วคำเล่าไม่หยุด
เฉินผิงอันถามอีกครั้งว่า “หากอยู่ต่อแล้วเกิดเรื่อง พวกเราสามคนถูกบีบให้ต้องออกหน้า จะมีความเป็นไปได้มากหรือไม่ว่าแม้แต่ตัวเองก็อาจจะยังเอาตัวไม่รอด?”
สวีหย่วนเสียใคร่ครวญหาคำพูดอย่างระมัดระวัง ก่อนเอ่ยเนิบช้าว่า “กลัวก็แต่ฝ่ายตรงข้ามจะใช้วิธีในนอกประสาน ใช้ความตั้งใจเอาชนะความไม่ตั้งใจ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า จะต้องคิดหาวิธีกำราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสองศาลเจ้าบุ๋นบู๊เสียก่อน แล้วนับประสาอะไรกับที่ดูท่าแล้วตอนนี้เทพบุ๋นบู๊ต่างก็ได้รับผลกระทบจากค่ายกลของบ้านโบราณและเทพภูเขาเถื่อน ศักยภาพจึงไม่เหมือนเดิมนานแล้ว ทำให้เกิดช่องโหว่ได้ง่าย ยังดีที่ก่อนหน้านี้ข้าเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมือง ดูจากควันธูป รูปแบบของสิ่งปลูกสร้างและภาพปรากฏการณ์แล้วเหมือนว่าจะไม่แย่…”
เฉินผิงอันถาม “พวกเราสามารถไปหาเทพอภิบาลเมืองท่านนี้โดยตรงได้เลยหรือไม่? เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจน? เจ้าเมืองกับแม่ทัพไม่เข้าใจความร้ายกาจของภูตผีปีศาจพวกนี้ อีกทั้งหากเจอเรื่องเข้าจริง เกรงว่าก็คงดีแต่จะใช้คำพูดเดิมๆ ในวงการขุนนางมาผลักภาระความรับผิดชอบ ทว่าเทพอภิบาลเมืองท่านนี้มีความเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเมืองอย่างใกล้ชิด ถ้าพูดไม่น่าฟังสักหน่อย เจ้าเมืองหลิวสามารถหลบเลี่ยงได้ แม่ทัพหม่าสามารถไม่เคลื่อนทัพให้ความช่วยเหลือ แต่เทพอภิบาลเมืองไม่มีทางหนีพ้นแน่นอน อีกอย่างหากภูตผีปีศาจมีวัตถุประสงค์บางอย่างจริงๆ ก็ต้องลงมือกับเทพอภิบาลเมืองในท้องที่ก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นเทพอภิบาลเมืองต้องใส่ใจมากกว่าพวกขุนนางในพื้นที่แน่ๆ”
ดวงตาของชายฉกรรจ์เคราดกเป็นประกาย ตบขาตัวเองฉาดใหญ่ กล่าวเสียงหนักว่า “ใช้ได้!”
นักพรตจางซานเฟิงหันมายิ้มและยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน
และเวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น หลังจากเดินไปเปิดประตูเฉินผิงอันก็เห็นว่าบัณฑิตแซ่หลิ่วและคู่พี่น้องหลิวเกาหวาสามคนมีสีหน้าหวั่นวิตก หลิวเกาหวาพอนั่งแปะลงบนเก้าอี้ได้ก็เทเหล้าให้ตัวเองเต็มจอก “พวกเจ้าว่าแปลกหรือไม่ เมื่อครู่นี้รูปปั้นเทพสวรรค์ในศาลเทพอภิบาลเมืองปริร้าวไปเกินครึ่งร่าง แถมยังมีเลือดสดปริ่มออกมาไหลนองเต็มพื้น ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ด้านในศาลเทพอภิบาลเมืองยังมีแต่พวกงู หนู แมงป่องเต็มไปหมด น่าขยะแขยงยิ่งนัก ตอนนี้บิดาข้าได้ส่งคนให้ไปปิดประตูใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองเอาไว้แล้ว พวกชาวบ้านจะได้ไม่ต้องตกอกตกใจ”
ชายฉกรรจ์เคราดกสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาหันไปมองสบตากับเฉินผิงอันและจางซานเฟิงโดยไม่เอ่ยสิ่งใด
เฉินผิงอันถามว่า “ศาลบุ๋นบู๊สองแห่งมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไหม?”
หลิวเกาหวาอึ้งตะลึง ก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้อนี้ข้าไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่มีอะไรน่าดู พวกเราคนในพื้นที่จึงไม่ค่อยชอบไปสถานที่สองแห่งนั้นเท่าไหร่”
เผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน หญิงสาวยังค่อนข้างกระอักกระอ่วน ได้แต่นั่งอยู่ข้างหลิ่วหลางซึ่งนั่งห่างจากเฉินผิงอันไกลที่สุด นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีครั้งหนึ่งตอนที่ยกน้ำชาไปส่ง บังเอิญได้ยินท่านพ่อคุยกับนักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่มาเป็นแขกในจวน บอกว่าถึงแม้ศาลเจ้าทั้งสองแห่งจะมีควันธูปเฟื่องฟู แต่กลับถือว่ามีแค่คนบูชาแต่ไม่มีคนนับถือ นักพรตเฒ่าเองก็จนใจไม่น้อย บอกว่าทางราชสำนักก็ทำอะไรไม่ได้ แคว้นไฉ่อีมีพื้นที่เพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะมีเทพแห่งขุนเขาอีกองค์หนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ แถมยังบอกด้วยว่าหากในเมืองแยนจือมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตถือกำเนิดขึ้นสักคน และสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษากวานหูได้ ไม่แน่ว่าฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ท่านพ่อข้าได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้า พูดไปตามตรงว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตอย่างที่ว่านี้จะมีในแคว้นไฉ่อีได้อย่างไร”
หลิ่วชื่อเฉิงสีหน้าฉงน กล่าวอย่างสงสัย “พวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน? ศาลเจ้าบุ๋นบู๊ องค์เทพแห่งขุนเขาอะไรกัน? สำนักกวานหูข้าพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะตั้งอยู่ริมชายแดนของแคว้นป๋ายซานพวกเรา ข้ายังเคยเข้าไปเที่ยวเล่นอยู่หลายครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าพอจะถือว่าเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตได้สักครึ่งตัวหรือไม่? แม่นางหลิว เจ้าวางใจเถอะ ทุกปีสำนักศึกษากวานหูจะรับสมัครบัณฑิตจากแคว้นป๋ายซานหนึ่งคน ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติพิเศษที่มีต่อแคว้นป๋ายซาน ไม่แน่ว่าวันใดข้าหลิ่วชื่อเฉิงอาจจะสามารถ…”
หลิวเกาหวากลอกตา “เจ้าอาจจะไม่ได้รับเลือกเสียมากกว่า ความรู้นิดๆ หน่อยๆ ในหัวของเจ้าไม่ได้มากไปกว่าข้าสักเท่าไหร่หรอก”
หลิ่วชื่อเฉิงขัดเคืองจึงไม่พูดอะไรอีก
ความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผสมปนเปกันมั่วซั่วของเขา เอามาใช้กับสตรีได้ แต่ใช้กับบัณฑิตไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
พูดคุยกันอีกพักหนึ่ง สองพี่น้องก็จากไป ก่อนจะจากไป หลิวเกาหวานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเตือนว่า “ด้วยเรื่องศาลเทพอภิบาลเมือง ฟังจากความหมายของท่านพ่อข้า นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเมืองแยนจือก็จะเริ่มมีการใช้กฎที่เข้มงวดแล้ว ออกจากเมืองง่าย เข้ามาในเมืองยาก แต่ไม่แน่ว่าวันมะรืนหากคิดจะออกจากเมืองก็ยังเป็นเรื่องยากไปด้วย ดังนั้นหลิ่วชื่อเฉิงจึงคิดจะจากไปวันนี้ พวกเจ้าสามคนล่ะ? บอกไว้ก่อนว่าหากมีการใช้กฎเข้มงวดจริงๆ แม่ทัพหม่าต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ด้วยตัวเองเป็นแน่ ถึงเวลานั้นบุตรชายเจ้าเมืองอย่างข้าคงไม่มีความสามารถช่วยขอร้องแทนพวกเจ้าได้ หากจะไป อย่างช้าที่สุดก็คือวันพรุ่งนี้”
หลิ่วชื่อเฉิงพาพี่สาวของหลิวเกาหวาออกไปจากห้องแล้ว กำลังบอกลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ในห้องของจางซานเฟิง ยังดีที่หลิวเกาหวารออยู่ด้านข้าง คู่รักหนุ่มสาวจึงไม่กล้าแนบชิดคลอเคลียกันสักเท่าไหร่
หลังจากที่สวีหย่วนเสียปิดประตูลงก็ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ “มีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่าศาลเทพอภิบาลเมืองจะเกิดเรื่องแล้ว ดูท่าปีศาจนอกรีตกลุ่มนี้คงวางแผนไว้ใหญ่มากทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือจะตบะลดระดับลง ถูกคนใช้วิธีการต่ำช้าพันธนาการอยู่ในศาล หรือว่าถูกฆ่าตายไปแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะปรากฏอย่างเด่นชัด จวนเจ้าเมืองและฐานทัพที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงน่าจะเริ่มระแวดระวังกันแล้ว หากพวกเรานำข่าวไปบอกในเวลานี้ ระดับความน่าเชื่อถือจะเพิ่มขึ้นสูงมาก”
นักพรตหนุ่มมองมาทางเฉินผิงอัน ถามหยั่งเชิงว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราเอาข่าวไปบอกจวนเจ้าเมืองแล้วออกจากเมืองกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าและจอมยุทธ์ใหญ่สวีตามพวกหลิวเกาหวาไป ไปที่บ้านของข้า ข้าจะไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ยิ่งรู้ความจริงเร็วเท่าไหร่ ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย ก็ล้วนมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของพวกเรา”
จางซานเฟิงไม่สงสัยว่าทำไมถึงต้องแยกย้ายกันไป แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงไม่ได้ไปสถานที่อันตรายอย่างศาลเทพอภิบาลเมืองแทนเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันอธิบายยิ้มๆ “เจ้ากับจอมยุทธ์ใหญ่สวี คนหนึ่งต้องชักดาบ ซึ่งทางที่ดีต้องรวดเร็วปานลมกรดเพื่อแสดงให้เห็นถึงมาดปรมาจารย์ของตน ส่วนอีกคนหนึ่งต้องบังคับให้กระบี่ไม้ท้อบินทะยานไปทั่ว เพื่อให้แสดงให้เห็นว่าตัวเองคือจางเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่เชี่ยวชาญด้านการปราบปีศาจกำจัดมารมากที่สุด ข้าจะไปทำอะไร? ไปรำหมัดให้ใต้เท้าเจ้าเมืองดูหรือไง?”
ชายฉกรรจ์เคราดกหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จางซานเฟิงคิดตามก็เข้าใจได้ จึงบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไปหยิบยันต์สามแผ่นออกมาจากในห่อสัมภาระ สองแผ่นคือยันต์ลมร้ายจุดไฟที่มีระดับต่ำที่สุด แต่ใช้ได้ผลมากที่สุด หากมีลมปราณความชั่วร้ายหรือสิ่งสกปรกปรากฏขึ้น กระดาษยันต์สีเหลืองจะเผาไหม้ตัวเอง แผ่นที่อยู่ด้านล่างสุดคือยันต์เทพเดินทางที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์ม้าเกราะ หากกรอกปราณวิญญาณหรือลมปราณที่แท้จริงเข้าไป ภายในหนึ่งก้านธูปจะสามารถห้อตะบึงได้เร็วเหมือนม้า เหมือนบินทะยานอยู่กลางสายลมโดยที่ไม่เปลืองแรงกายเลยแม้แต่นิดเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!