เล่าลือกันว่าเมื่อสองร้อยปีก่อนมีนักพรตแซ่จางจากต่างทวีปคนหนึ่งเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้ ด้วยความประทับใจต่อประเพณีนิยมของชาวเมืองแยนจือ หลังกลับไปถึงบ้านเกิดเขาได้เป็นเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ และไม่นานก็มอบ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋อภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ มาให้ชิ้นหนึ่ง
และในเวลานั้นผู้คนถึงได้รู้ว่าที่แท้นักพรตหนุ่มเป็นถึงชนชั้นสูงหวงจื่อแห่งจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ เรื่องเล่าที่งดงามเรื่องนี้คนรู้กันครึ่งทวีป ในกลุ่มชาวบ้านก็มีการเล่าลือต่อๆ กันไป และตราประทับเนื้อทองที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่ชิ้นนั้นก็ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีเก็บรักษาอยู่ในคลังสมบัติแห่งชาติไปนานแล้ว
ด้านในตำหนักเทพอภิบาลเมืองยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ยักษ์ บนภาพมีสาวงามที่สวมเสื้อแขนกว้างกำลังร่ายระบำเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดคน
ถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘หมึกสีมีชีวิต เป่าลมใส่มีชีวา’
เฉินผิงอันเห็นว่าสตรีชุดขาวผู้นั้นไม่สะทกสะท้านก็ไม่พูดอะไรมากอีก เขาแอบตบไปยังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวเบาๆ
พอหมุนตัวกลับมาก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบน ‘ผิวน้ำแข็ง’ นั่นหนึ่งครั้ง เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เทวรูปสามองค์ที่อยู่ด้านในถึงกับโยกคลอนตามไปด้วย
เฉินผิงอันเดินช้าๆ ด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าว ปล่อยหมัดต่อยลงบนชั้นน้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
แน่นอนว่ายังต้องป้องกันเผื่อสตรีที่อยู่ตรงป้ายหินจะแว้งมาทำร้ายด้วย
เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังมาจากด้านบนของต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เป็นเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่ง
“เจ้าโง่ นั่นคือค่ายกลที่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตห้าสองคนร่ายไว้เองกับมือ ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็ยังต้องจนปัญญาไปชั่วขณะ ไม่อย่างนั้นทำไมท่านเทพอภิบาลเมืองถึงออกมาไม่ได้เล่า เจ้าแค่เป็นวรยุทธ์งูๆ ปลาๆ ก็คิดจะทำลายมันให้ได้อย่างนั้นหรือ? เก็บแรงไว้เถอะ ฉวยโอกาสที่ผีสาวตนนั้นยังไม่คิดจะฆ่าเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นคราวหน้าหากมีคนโง่บุกเข้ามาอีกครั้ง หุ่นเชิดที่ถูกชักใยให้ร่ายรำตัวต่อไปก็จะเป็นเจ้าแล้ว”
อาจจะเป็นเพราะหมัดของเฉินผิงอันต่อยอย่าง ‘ตามใจปรารถนาเกินไป’ ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่แม้แต่น้อย
นี่ทำให้เด็กสาวนิสัยประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้เกิดใจดูแคลน
หลังจากที่ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียนไปบนถนนเส้นเล็ก ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันในเวลานี้จึงยิ่งเก็บอำพรางได้ลึกล้ำมากขึ้น ท่าเดินนิ่งที่ใช้ในเวลาฝึกหมัดยามปกติยิ่งช้ามากขึ้นและยิ่งสอดคล้องกับคำว่า ‘บำรุงด้วยความอบอุ่น’ มากขึ้น โดยทั่วไปแล้วทักษะด้านวรยุทธ์ขั้นต่ำในยุทธภพ การที่หมัดนอกตำราสามารถก่อให้เกิดผลลัพธ์ ‘เรียกผีร้ายเข้าตัว’ ก็เพราะใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เข้าสำนักที่ได้มาตรฐาน เป็นเหตุให้ยิ่งปล่อยหมัดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งทำลายร่างกายและจิตวิญญาณมากเท่านั้น
ถึงแม้ว่าการเดินนิ่งของเฉินผิงอันจะเชื่องช้า แต่ความเร็วในการโคจรลมปราณตอนฝึกเดินนิ่งเจี้ยนหลูกลับเร็วกว่านับเท่าไม่ถ้วน หากเปรียบเทียบว่าก่อนหน้านี้คือการส่งข่าวตามจุดพักม้าที่ต้องใช้ม้าเร็ว ตอนนี้ก็คือสามารถควบม้าเร็วได้แปดร้อยลี้ในวันเดียว
สภาพการณ์มหัศจรรย์อย่างการ ‘เก็บซ่อนอำพราง’ นี้ หากไม่ใช่ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกหรือเจ็ดย่อมไม่สามารถมองตื้นลึกหนาบางออก
สตรีชุดขาวพลันหยุดร้องเพลง หันหน้ามาจ้องหมัดที่สิบแปดของเฉินผิงอันเขม็ง
หนึ่งหมัดต่อยไป ประหนึ่งระฆังใบใหญ่ที่ถูกตีดังกังวาน ลมปราณของตลอดทั้งลานกว้างสะเทือนเลือนลั่น ป้ายศิลาที่อาบไปด้วยเลือดสดปริแตกเป็นรอยร้าวเสียงดังสนั่น
นางกรีดร้องเสียงแหลมบาดแก้วหูเหมือนแม่ทัพที่ออกคำสั่ง เหล่าหญิงสาวที่อยู่ในสองตำหนักจึงกลายร่างมาเป็นควันเข้มข้นที่กลิ้งหลุนๆ สองเส้น เส้นหนึ่งหลอมรวมเข้ากับพื้นผิวน้ำแข็งชั้นนั้น ใช้จิตวิญญาณวัตถุหยินที่หลงเหลืออยู่ของพวกนางมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลสกปรกแห่งนั้น ควันดำอีกเส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน พยายามที่จะทำลายปณิธานหมัดที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นสายของเขา ไม่ให้เขาปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเป็นหมัดที่สิบเก้าได้
“จะถูกคนมุทะลุอย่างเจ้านำหายนะมาให้แล้ว! หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนเดินบนเส้นทางสู่น้ำพุเหลืองด้วยกัน คอยดูเถอะข้าจะด่าเจ้าให้ตายไปเลย…ตายซ้ำตายซ้อนเข้าไปอีก…ข้ายังไม่ทันได้ตายก็จะหงุดหงิดตายไปก่อนแล้ว!”
บนยอดต้นไม้โบราณ เด็กสาวบ่นจบก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เรือนกายอรชรของนางพุ่งพรวดออกมาก่อให้เกิดเสียงกระพรวนกรุ๊งกริ๊งใสกังวาน เมื่อเสียงนั้นล้อมวนไปรอบกายนางก็มีดอกไม้สีทองอ่อนจางเป็นวงๆ ผุดลอยขึ้นมา เมื่อบวกเข้ากับร่างสะโอดสะองของนางจึงเรียกได้ว่างดงามเจริญหูเจริญตา
มุมปากบนใบหน้าที่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้ม่านผมหนาดกของสตรีชุดขาวกระดกโค้ง ดวงตามีแววเย้ยหยันเย็นชา
นางยื่นมือกระดูกสองข้างออกมาตบเบาๆ
จากนั้นเทวรูปบุ๋นบู๊ที่ตั้งขนาบอยู่สองฝั่งซ้ายขวาของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ส่งเสียงออดแอดคล้ายมีชีวิต สะเก็ดฝุ่นจำนวนมหาศาลร่วงกราวฟุ้งไปทั่ว พวกเขาเดินออกมาจากแท่นบูชาในเวลาเดียวกัน เหยียบลงบนแผ่นกระดานสีดำในตำหนักหลักเสียงดังครืนครั่น
จากนั้นเทวรูปดินเผาสูงสองจั้งทั้งสององค์ก็เดินพรวดออกมาจากในตำหนักหลัก รูปปั้นที่ถือคทาเหล็กไว้ในมือใช้คทาต้านรับหมัดที่พุ่งเข้ามาแสกหน้าของเด็กหนุ่ม ส่วนเทวรูปขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ถือตราประทับไว้ในมือ พอเดินข้ามธรณีประตูออกมาได้ก็ใช้ตราประทับเหล็กขนาดใหญ่ยักษ์ตบใส่เด็กสาว
เดิมทีเมื่อค่ายกลถูกทำลายก็จะสามารถทำให้เทพอภิบาลเมืองกลับคืนมาเป็นอิสระได้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นการดำเนินไปของสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล ไหนเลยจะคิดว่ากระบวนท่าสังหารที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ลานกว้างนอกศาล ไม่ได้อยู่ที่สตรีชุดขาว แต่อยู่ในตำหนักของเทพอภิบาลเมืองที่ฝากความหวังเอาไว้? ถ้าอย่างนั้นเสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองที่ควรได้ครอบครองร่างทองขององค์เทพไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เทวรูปของเทพอภิบาลเมืองที่ตั้งอยู่ตรงกลาง สูงใหญ่และเปี่ยมบารมีอำนาจมากที่สุดซึ่งเดิมทีควรมีร่างสีทองเปล่งประกาย เวลานี้กลับหม่นหมองไร้แสง ท่ามกลางเศษชิ้นส่วนสีทองที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นมีเพียงในดวงตาเท่านั้นที่เหลือประกายแสงสีทองริบหรี่ ไม่ว่าคนเมืองแยนจือคนไหนมาเห็นก็คงไม่กล้าเชื่อว่านี่คือ ‘เทพอภิบาลเมืองร่างทอง’ ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของพวกเขา
เพราะตามบันทึกในอักขรานุกรมของเมืองแยนจือ เทวรูปรูปนี้ถูกแปะด้วยทองคำเปลวจากทองเกือบหนึ่งร้อยตำลึง ด้วยเรื่องนี้เจ้าเมืองของรุ่นนั้นยังขอรับบริจาคจากเหล่านายท่านนายหญิงที่เป็นพ่อค้าหรือไม่ก็เศรษฐีที่ร่ำรวยในเมือง เมื่อบริจาคสำเร็จยังตั้งใจสร้างป้ายผู้อนุโมทนาบุญสลักชื่อแซ่วงศ์ตระกูลของคนที่ออกเงินทุนทุกคนลงไป
เทวรูปหลักที่บนร่างไม่เหลือทองคำเปลวแม้แต่ชิ้นเดียวเปล่งเสียงอย่างยากลำบาก น้ำเสียงที่แหบพร่าดังมาถึงธรณีประตู “พวกเจ้าสองคนรีบหนีไป พวกนอกรีตไม่รู้ที่มาเหล่านั้นมีจำนวนมากเกินไป สถานที่แห่งนี้มีแค่ผีชุดขาวตนเดียวเท่านั้น หากพวกเจ้าหนีไปได้ต้องนำข่าวไปแจ้งเซียนซือของสำนักโองการเทพ หรือไม่ก็เหล่าปราชญ์วิญญูชนแห่งสำนักศึกษากวานหู บอกพวกเขาว่าแคว้นไฉ่อีประสบหายนะครั้งใหญ่ หากแคว้นต้องล่มสลาย อีกหกแคว้นโดยรอบซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋ก็ไม่มีหวังว่าจะรอดพ้นไปได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!