ปากของชายฉกรรจ์มันแผล็บ หัวเราะครึกครื้น “นั่นสิๆ หากสามารถเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือซูเจี้ยสักเจ็ดแปดส่วน อย่าว่าแต่เงินเกล็ดหิมะสองร้อยเหรียญเลย ห้าร้อยเหรียญ ข้าก็เต็มใจจ่าย ได้กอดเฮ้อเสี่ยวเหลียงหรือเทพเธิดาซูเจี้ยกลิ้งผ้าห่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น จุ๊ๆๆ นั่นมันชีวิตของเทพเซียนแท้ๆ ข้าผู้อาวุโสไม่หลับไม่นอนทั้งคืนเลยก็ยังได้!”
สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนชายฉกรรจ์ พูดเรื่องเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง “เซียนกระบี่น้อยของสำนักโองการเทพแซ่ฟู่คนหนึ่งก็เข้าร่วมกับพรรคหลิงซีเดินทางลงใต้มาด้วย อายุไม่มาก แต่วางท่าใหญ่โตยิ่งกว่าท้องฟ้าเสียอีก ระหว่างที่เดินทางลงใต้ บุรพาจารย์สองท่านของพรรคหลิงซีแทบจะยกแม่นางน้อยคนนั้นขึ้นหิ้งบูชา”
ผู้เฒ่าเจ้าของร้านวางตะเกียบลง สีหน้าเคร่งเครียด “จริงรึ?”
สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้า “หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้พวกเราสองสามีภรรยาคิดจะเลิกให้ความร่วมมือก่อนกำหนด แต่แยกย้ายกับพวกเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? เรื่องที่ทำลายผู้อื่นแล้วไม่ส่งผลดีต่อตัวเอง พวกเราไม่คิดจะทำหรอกนะ หากทำการค้าอย่างสะเพร่า กิจการก็ย่อมไม่ยั่งยืน”
ผู้เฒ่าถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญ “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนของสำนักโองการเทพเข้ามาร่วมด้วย? มีคนของพวกเจ้าแฝงตัวเป็นสายลับอยู่ในพรรคหลิงซีรึ? แถมยังมีลำดับศักดิ์ไม่ต่ำด้วย?”
สตรีแต่งงานแล้วย้อนถาม “แปลกมากนักหรือ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน หน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “ที่แท้เจ้าก็ทำการค้าไปถึงบนภูเขาแล้ว นับถือๆ”
ชายฉกรรจ์โยนกระดูกน่องไก่ลงบนพื้น เอ่ยแทรกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ต้องทำไปถึงบนยอดเขาต่างหากถึงจะถือว่าร้ายกาจ กิจการเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเราจะนับเป็นอะไรได้”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มารเฒ่าหมี่ เรื่องราวเป็นเช่นนี้จริง แต่บอกกับเจ้าตามตรง หากเจ้ายืนกรานจะมัดตัวเองอยู่กับเซียนหลิวหลี พวกเราสองสามีจะไม่พูดอะไรมากอีก กินข้าวเสร็จแล้วจะไปทันที งานทางฝ่ายของพรรคหลิงซีก็ถือว่าพวกเราได้กำไรมาก้อนใหญ่แล้ว หากเจ้ายินดีจะร่วมหัวจมท้ายไปกับพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็วางแผนให้ดี หลังจากสลัดเซียนหลิวหลีทิ้งไปแล้วก็เปิดค่ายกลก่อนกำหนด ฉวยโอกาสที่ผู้คนกำลังวุ่นวายรีบฉกสมบัติอาคมชิ้นนั้นมาแล้วหนีไปทันที”
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงลังเลเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์เช็ดปาก “สังหารเซียนหลิวหลี ไม่เพียงแต่ถ้วยหลิวหลี (ถ้วยแก้ว) ของเขาที่จะเป็นของเจ้า สมบัติทุกชิ้นของสหายเจ้าคนนี้ เจ้าเอาไปได้เท่าไหร่ก็เอาไป แต่ตราประทับชิ้นนั้นต้องเป็นของพวกเรา”
มารเฒ่าหมี่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “รอเดี๋ยว”
เขาหันไปมองลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดคนนั้น “โยนเหรียญทองแดงคำนวณดูสิว่าจะดีหรือร้าย”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ปากแดงฟันขาว เขายิ้มสดใส ควักเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งมากำไว้ในฝ่ามือ นั่งยองบนพื้น เงยหน้าถาม “เหล่าหมี่ มีผลประโยชน์ไหม?”
ผู้เฒ่ากล่าวเรียบๆ “ทุกคืนหลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องสวมชุดของสตรีอีกแล้ว”
ลูกศิษย์อีกสองคนสีหน้าเป็นปกติ พวกเขาหันมายิ้มให้กัน เด็กหนุ่มหน้าแดงนิดๆ พูดเขินๆ ด้วยเสียงนุ่มหวาน “นี่จะถือเป็นผลประโยชน์ได้อย่างไร เหล่าหมี่ท่านเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีไหม?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็เอ่ยว่า “จะแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มที่น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยถาม “ได้ผลประโยชน์แล้ว ศิษย์ยังจะมีชีวิตได้ใช้มันหรือไม่?”
มารเฒ่าหมี่ปรายตามองลูกศิษย์สองคนที่เข้ามาอยู่ในสำนักของเขานานแล้วด้วยสายตาเย็นชา พยักหน้าให้เด็กหนุ่ม “มี”
เด็กหนุ่มยิ้มหวาน เขากัดปลายนิ้วของตัวเองแล้วใช้ปลายนิ้วปาดคราบเลือดลงไปบนเหรียญทองแดง สุดท้ายถึงวางลง เพ่งมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “มหามงคล!”
มารเฒ่าหมี่เหมือนยกภูเขาออกจากอก หันไปมองสองสามีภรรยา “ข้าจะให้ลูกศิษย์ไปเปิดค่ายกลล่วงหน้า พวกเราสามคนช่วยกันรับมือเซียนหลิวหลี รีบรบรีบจบ เป็นอย่างไร?”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วค่อยๆ ดึงกลับมาจากบนใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม นางอารมณ์ดีอย่างมาก “ได้สิ”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ถามด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “มารเฒ่าหมี่ เจ้าเป็นเพื่อนกับเซียนหลิวหลีมาร้อยกว่าปี จะตัดใจลงมือได้ลงจริงๆ หรือ?”
มารเฒ่าหมี่ใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมา “มอบถ้วยหลิวหลีซึ่งเป็นของที่เซียนท่านหนึ่งทิ้งไว้ให้เป็นของรางวัล โดยบอกให้เจ้าฆ่าเมียตัวเอง เจ้าจะทำหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ไม่พอใจ
ทว่าสตรีแต่งงานแล้วกลับไม่เสียใจแม้แต่น้อย นางควักกระจกออกมาส่องซ้ายส่องขวาอีกครั้ง “หากในสายตาของเจ้าคนใจดำผู้นี้ ข้ามีค่าเทียบเท่ากับถ้วยหลิวหลีหนึ่งใบ ชีวิตนี้ของข้าก็ไม่ถือว่าเสียเปล่าแล้ว”
……
นอกศาลเทพอภิบาลเมือง เด็กสาวยืนตัวสั่นอยู่ตรงประตูหลังของตำหนักใหญ่ชั้นที่หนึ่ง นางถึงขั้นไม่กล้ายืนอยู่บนลานเล็กระหว่างตำหนักเทพไฉเสินกับตำหนักไท่สุ้ย
เพราะในตำหนักเทพอธิบาลเมืองที่อยู่ด้านหน้ากำลังเกิดการต่อสู้รุนแรงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าเทพเซียนในสายตานางถูกเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินที่ธาตุไฟเข้าแทรกเหยียบกลางหลัง ทว่าท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มกลับร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะเขาสามารถยืดเอวขึ้นตรงได้ในเสี้ยววินาที บีบให้เทพอภิบาลเมืองถอยหลังไปสองก้าว หลังจากนั้นเทพอภิบาลเมืองร่างทองของแคว้นไฉ่อีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ระเบิดพลังการต่อสู้ที่น่าตกใจ เขาสาวเท้าก้าวเร็วๆ ราวกับบินไล่ตามเซียนกระบี่ที่สะพายกล่องไม้ไว้ด้านหลังอยู่ในตำหนักใหญ่ที่กว้างขวางอย่างว่องไว
ระหว่างนี้เซียนกระบี่หนุ่มยังออกท่าหมัดประหลาดยี่สิบเอ็ดครั้งเหมือนกับตอนที่ต่อยทำลายค่ายกล ทั้งๆ ที่สามารถต่อยให้ทองคำบนร่างของเทพอภิบาลที่ถูกมารร้ายเข้าสิงแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยร่วงกราวอยู่ในตำหนักใหญ่ เทวรูปดินเผาเกิดรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน มีควันดำผุดออกมาเป็นเส้นๆ ได้แล้ว แต่พอเทพอภิบาลเมืองร่างทองคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง สร้างตราประทับฝ่ามือประหลาดที่เด็กสาวไม่รู้จัก ผงสีทองไม่เพียงแต่กลับมารวมตัวกันบนพื้นผิวของเทวรูป แม้แต่รอยแตกร้าวก็ยังประสานตัวหายดีได้ดังเดิมในเสี้ยววินาที
นอกจากดวงตาทั้งคู่ของเทพอภิบาลเมืองที่เป็นสีดำดุจหมึก แผ่กลิ่นอายอึมครึมน่าสะพรึงกลัว หากประสานสายตากับเขาจะทำให้คนรู้สึกเสียวสันหลัง แต่นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยังมีร่างสีทองเปล่งประกาย เจิดจรัสบาดตา เรือนกายสูงสามจั้ง ทุกหมัดที่ต่อยลงไปล้วนกระแทกให้กำแพงยุบถล่ม ทุกเท้าที่กระทืบลงไปล้วนทำให้พื้นอิฐปริแตก ราวกับองค์เทพผู้เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจจากชั้นฟ้าที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร
เด็กสาวกระพรวนเงินมีแต่ความกังวลใจ เทพอภิบาลเมืองร่างทองที่มองดูเหมือนไร้เทียมทานขนาดนี้ จะมีใครเอาชนะได้จริงๆ หรือ?
นางเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ถึงไม่เรียกกระดาษยันต์สีทองสองแผ่นนั้นออกมา? หรือแม้แต่กระบี่บินก็ยังไม่ยอมเรียกใช้? กลับเอาแต่ต่อสู้ประชิดตัวอยู่กับเทพอภิบาลเมือง ท่าหมัดถูกเปลี่ยนไปหลายท่าแล้ว และมีหลายครั้งที่นางเห็นกับตาตัวเองว่าเทพเซียนสะพายกระบี่ถูกต่อยจนปลิวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ฟังจากเสียงน่าจะถูกเทพอภิบาลเมืองร่างทองต่อยอัดเข้าไปในกำแพง ภายหลังเทพอภิบาลเมืองจึงดึงเสาคานขนาดใหญ่ต้นหนึ่งออก ไม่สนใจว่าตำหนักเทพอภิบาลเมืองจะถล่มลงมา ใช้มันเป็นอาวุธที่เดี๋ยวก็ฟาดเดี๋ยวก็ตวัดเหวี่ยงอย่างบ้าคลั่ง
เทพเซียนตีกัน แผ่นดินไหวภูเขาสั่นคลอนอย่างแท้จริง
เด็กสาวที่มองดูอยู่อกสั่นขวัญผวา ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ แอบท่องในใจว่าสู้ๆ สู้ๆ
แม้ว่าตอนนี้เทพเซียนผู้เฒ่าจะตกเป็นรองชั่วคราว แต่ก็ต่อสู้ได้อย่างองอาจห้าวหาญ
ยกตัวอย่างเช่นเขายกแขนสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ แข็งใจต้านรับเสาคานต้นใหญ่ที่ตีแสกหน้าลงมา เสาคานหักท่อนเสียงดังสนั่น แต่เข่าทั้งสองข้างของเขาก็ทรุดจมลงไปในพื้นดินทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!