สรุปเนื้อหา บทที่ 232.2 – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 232.2 ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
การจัดขบวนรบอย่างหยาบๆ ของมือธนูกับนักปราบมือดาบแทบจะแตกซ่านเซ็น ได้แต่ต่อสู้ประชิดตัวกับมารร้ายที่ไม่กลัวตายพวกนั้น หากไม่เป็นเพราะพวกเฉินผิงอันสามคนมาถึงพอดี เกรงว่าคนของตระกูลจ้าวที่พากันกรูออกมาไม่หยุดคงกระจายตัวกันไปตามสถานที่ต่างๆ สร้างภัยพิบัติให้แก่ชาวเมืองเหมือนฝูงตั๊กแตนไปแล้ว เฉินผิงอันไม่รู้ว่ามีวิธีคลายอาคมปีศาจหรือไม่ เขาจึงยังใช้แค่หมัดและเท้าเตะต่อยให้คนตระกูลจ้าวที่เหมือนถูกผีสิงให้กระเด็นกลับไปใกล้ประตูใหญ่ของจวน กระพรวนของหลิวเกาซินสั่นสะเทือนรุนแรง ดอกไม้สี่ทองกระจายตัวกันไปสี่ทิศ อาคมปีศาจที่ขอแค่สัมผัสโดนดอกไม้สีทองก็จะแตกสลาย กลายมาเป็นเลือดสดเหนียวหนืดกองหนึ่งที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง
หลังจากมือดาบแซ่โต้วชักดาบออกมา ตัวดาบก็ปล่อยประกายแสงสีขาวหิมะ ทุกดาบที่ฟันลงไปล้วนตัดร่างชายหญิงเด็กแก่ที่ถูกปีศาจเข้าสิงให้ขาดครึ่งท่อน วิชาดาบของชาวยุทธ์คนนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นขอบเขตของปรมาจารย์ที่หวนกลับคืนสู่สภาพแท้จริงอันเป็นธรรมชาติที่สุด เด็ดขาดตรงไปตรงมา กระบวนท่าเรียบง่ายฉับไว ไม่มีอิดออดล่าช้าเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเทียบกับวิชาดาบของสวีหย่วนเสียมือดาบเคราดกแล้ว การออกดาบของคนผู้นี้ขาดกลิ่นอายของความหยาบเถื่อนอย่างคนในสมรภูมิรบไปเล็กน้อย แต่มีบรรยากาศของการบรรลุถึงจุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบเพิ่มขึ้นมาแทน มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ที่กำลังก้าวเดินสู่เบื้องบน การที่เขาเก็บซ่อนความโดดเด่นตอนอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้นจึงสมกับคำว่าคนจริงไม่อวดตัวที่กล่าวกันในยุทธภพอย่างแท้จริง
หลังจากสกัดคนตระกูลจ้าวที่ถูกมารสิงร่างไปได้กลุ่มหนึ่ง หลิวเกาซินก็ค้นพบว่ารอบกายมีแต่เลือดสดนองเต็มพื้นเศษแขนขา เศษกระดูกกลาดเกลื่อน จู่ๆ นางก็ทรุดตัวลงนั่งยอง อาเจียนออกมาคำใหญ่
ในจวนจ้าวมีประกายแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ แผ่กลิ่นอายของความมืดทะมึนน่าพรั่นพรึงอย่างเข้มข้น
เฉินผิงอันเห็นว่าหน้าประตูจวนจ้าวในเวลานี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงจึงดีดปลายเท้า ทะยานร่างกระโดดข้ามกำแพงไปอย่างว่องไวดุจนกนางแอ่นถลาลม ตรงดิ่งไปยังต้นกำเนิดของแสงสีแดงนั้น
ไล่ตามเบาะแสแสงสีแดงไป เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนที่เงียบสงบงามสง่าหลังหนึ่ง มีหอเก็บตำราส่วนตัวสามชั้นอยู่หนึ่งหลัง คุณชายสวมชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนบันไดด้านนอกหอ ท่านั่งของเขาเกียจคร้าน ข้อศอกเท้าอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้ มือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งพลิกเปิดหน้าหนังสือโบราณพลางหาวไปด้วย
คุณชายที่หน้าตาหล่อเหลาชวนมองชำเลืองหางตามามองเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้? คุณชายท่านนี้บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา คือเซียนซือที่ฝึกตนอยู่บนภูเขางั้นรึ? หรือว่าเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพ?”
จากนั้นคุณชายตระกูลจ้าวก็ขยับตัวนั่งตรง ยกนิ้วขึ้นแตะน้ำลาย พลิกเปิดหน้าหนังสืออีกหนึ่งหน้า ระหว่างที่หน้าหนังสือถูกเปิดก็มีแสงสีแดงสดพุ่งวาบผ่านไปอีกครั้ง
แสงสีแดงมารวมตัวกันเป็นเชือกหนาเส้นหนึ่งคล้ายงูหลามที่บิดพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ขยับขดตัวอยู่บนกำแพงสูงของลานบ้านชั่วขณะหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังบางจุดของจวน พยายามหาร่างของคนมาสิงสู่
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวหนึ่งที
งูหลามสีแดงสดตัวนั้นก็ถูกฟันขาดครึ่งท่อน
คุณชายชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “โอ้โห คือเซียนกระบี่น้อยคนหนึ่งหรือนี่? ร้ายกาจๆ ได้ยินว่าพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างมหาศาลมาก แต่ก็ง่ายมากที่เรี่ยวแรงจะไม่เป็นใจ พอปล่อยปราณกระบี่ออกมา ประกายแสงก็ส่องจ้าพร่า แต่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็หมดท่าแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะร้ายกาจกว่านั้นหน่อยหรือเปล่า?”
มือหนึ่งของคุณชายชุดขาวถือหนังสือ อีกมือหนึ่งเปิดหน้าตำราโบราณตั้งแต่หน้าแรกไปจนหน้าสุดท้ายเสียงดังพั่บๆๆ
งูน้อยสีแดงฉานหนาเท่านิ้วมือหลายสิบตัวผุดพุ่งขึ้นฟ้าจากหอหนังสือแห่งนี้ หมายจะกระจายตัวไปสี่ด้านแปดทิศ แต่คุณชายชุดขาวกลับเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ผูกน้ำเต้าสีชาดบรรจุเหล้าไว้ตรงเอวยังมีอารมณ์ปลดน้ำเต้ามาดื่มเหล้า ไม่รอให้คุณชายตระกูลจ้าวส่งเสียงหัวเราะหยัน เขาก็ไม่มีโอกาสได้หัวเราะแล้ว
เพราะงูแดงตัวน้อยบนท้องฟ้าที่มีชื่อว่าปล้องแดงเหล่านั้นถูกสายสีขาวที่ตวัดฉวัดเฉวียนฟาดฟันย่อยยับในเวลาเพียงชั่วพริบตา
จากนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบตรงหว่างคิ้ว เบิกตากว้างราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ ตายตาไม่หลับทั้งอย่างนั้น
ที่แท้กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงหว่างคิ้วทะลุกะโหลกศีรษะของเขาไป ปราณกระบี่ขุมนั้นยังแทรกซอนเข้ามาในร่างกายและจิตวิญญาณ บดขยี้พลังชีวิตทั้งหมดของเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบด้วย
ตอนที่เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อย ชูอีสืออูกระบี่บินสองเล่มก็พากันลอยเอ้อระเหยกลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
ตรงกำแพงเรือน มือดาบแซ่โต้วยืนอยู่บนหัวกำแพง มองเห็นภาพนี้แล้วก็กุมมือคารวะให้เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันใจกระตุกวาบ เอ่ยกับเขาว่า “บอกหลิวเกาซินสักคำว่าข้าจะไปที่ศาลเทพผืนดินสักหน่อย แปบเดียวก็กลับมา”
มือดาบหัวเราะเสียงดังกังวาน “สถานที่แห่งนี้ไม่มีอันตรายน่ากลัวอะไรแล้ว ก็แค่หมาแมวตัวเล็กๆ ไม่กี่ตัวเท่านั้น เซียนซือวางใจได้เลย”
เขาสองจิตสองใจอยู่ชั่วขณะก็ยกมือกุมคารวะ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักเทพอภิบาลเมือง เพื่อปกป้องตัวเอง จำต้องทำลายร่างทองของท่านเทพอภิบาลเมืองโดยมิได้เต็มใจ…”
เทพอภิบาลเมืองที่ไม่ได้เผยกายด้วยร่างของเทวรูปโบกมือ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยถามว่า “เซียนซือน้อย เจ้าใช่บัณฑิตหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเขินๆ “ไม่นับเป็นบัณฑิต ตอนนี้ก็แค่รู้จักอ่านตำราฝึกเขียนตัวอักษรเท่านั้น หวังว่าจะรู้จักตัวอักษรมากขึ้น เรียนรู้หลักการการเป็นคนจากในตำราให้มากขึ้น”
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินถามยิ้มๆ “รู้ประโยชน์ของเศษชิ้นส่วนร่างทองหรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นอธิบายเบาๆ “เศษชิ้นส่วนร่างทองเหล่านั้นต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเสพสุขกับควันธูปในโลกมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทพภูเขา เทพแม่น้ำ หรือเทพอภิบาลเมืองและเทพในศาลบุ๋นบู๊อย่างพวกเรา ล้วนมีคำเรียกขานว่าร่างทองทั้งสิ้น อันดับแรกต้องได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนัก สร้างเทวรูป จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องบำรุงบ่มเพาะรัศมีบารมีด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าร่างทองก็มีการแบ่งระดับสูงต่ำคล้ายคลึงกับในวงการขุนนาง โดยทั่วไปแล้วระดับขั้นร่างทองของทวยเทพห้าขุนเขาใหญ่จะสูงที่สุด ตามมาด้วยเทพวารีแห่งมหานที รวมไปถึงพวกเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวง อนุมานตามลำดับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ”
“กล่องไม้สีเขียวกล่องนั้นด้านในบรรจุ ‘ตราประทับเสี่ยนโย่วโป๋เทพอภิบาลเมืองแยนจือแคว้นไฉ่อี’ ที่ต้าเทียนซือรุ่นหนึ่งของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์สลักและประทานมาให้ด้วยตัวเอง เป็นอาวุธอาคมที่ซุกซ่อนพลานุภาพแห่งสวรรค์ซึ่งแข็งแกร่งมากชิ้นหนึ่ง เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องใช้ร่วมกับคาถาห้าอสนีถึงจะใช้ได้ แม้ว่าข้าจะเป็นเทพอภิบาลเมืองของเมืองแยนจือคนปัจจุบัน แต่ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่หนึ่ง จึงไม่สามารถใช้คาถาห้าอสนีของระบบเต๋าได้ และในความเป็นจริงแล้วตอนที่จวนเทียนซือมอบตราประทับชิ้นนี้มาให้ เดิมทีก็มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า แค่ให้ช่วยปกปักษ์ฮวงจุ้ยของเมืองแห่งหนึ่ง ไม่ได้ให้ผู้ฝึกลมปราณหรือเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีเอามาอวดอ้างอำนาจ หากไม่เป็นเพราะตราประทับเทียนซือสยบหมู่มารโดยมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยสุสานระเกะระกะนอกเมืองที่มีมานาน ความอาฆาตพยาบาทเข้มข้น หมู่มารทั้งหลายก็คงบุกเข้ามาในเมืองแยนจือนานแล้ว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “ต้องการให้ข้าช่วยนำไปมอบให้เจ้าเมืองหลิวแทนท่านหรือไม่? หรือว่าจะมอบให้ฮ่องเต้ของแคว้นไฉ่อีพวกท่านดี?”
เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินจ้องมองดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นอย่างตั้งใจ แล้วพลันโบกชายแขนเสื้อ หัวเราะเสียงก้อง “อริยะมีคำสอนบอกไว้ว่า อาวุธเทพแห่งฟ้าดิน มีเพียงผู้มีคุณธรรมเท่านั้นถึงจะควรค่าครอบครอง!”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!