ต่อให้เป็นวิญญูชนหรือนักปราชญ์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาหรือสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เกรงว่าก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่า ‘ผู้มีคุณธรรม’ บัณฑิตมีสามอมตะ สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และสร้างสรรค์ถ้อยคำ ซึ่งการสร้างคุณธรรมคืออันดับแรก เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากที่สุด บัณฑิตส่วนใหญ่ต่อให้ใช้เวลาหมดไปทั้งชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา หรืออาจถึงขั้นถอยแล้วถอยอีก
แต่ตอนนี้ความรู้ด้านภาษาในหัวของเฉินผิงอันยังตื้นเขินนัก จึงไม่อาจเข้าใจความหมายในระดับลึกซึ้งที่เสิ่นเวินแห่งแคว้นไฉ่อีเอ่ยออกมาด้วยฐานะของบัณฑิต มิใช่เอ่ยด้วยฐานะของเทพอภิบาลเมือง สำหรับกล่องไม้สีเขียวที่เพียงแค่สัมผัสก็รู้สึกสงบใจ เฉินผิงอันย่อมต้องชอบอยู่แล้ว ตอนนี้รู้ว่าข้างในกล่องบรรจุตราประทับที่เทียนซือผู้ครอบครองตราประทับของภูเขามังกรพยัคฆ์เป็นคนสลักด้วยตัวเองก็ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่ชอบของดี? เฉินผิงอันชอบนักล่ะ!
แต่ชอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง ชอบแล้วไม่ได้หมายความว่าต้องแย่งของของคนอื่นมาเป็นของตน นี่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อที่ว่าเฉินผิงอันออกหมัดได้เร็วเท่าไหร่ ขอบเขตวิถีวรยุทธ์สูงแค่ไหน หรือมีกระบี่บินกี่เล่ม อันที่จริงนี่ก็คือความไม่เห็นแก่ตัวที่ลัทธิขงจื๊อเลื่อมใสศรัทธา เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ ‘หลักการ’ นี้ก็เท่านั้น
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้าเอาตราประทับไปได้เลย”
เห็นว่าเซียนซือน้อยที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมึนงง เทพอภิบาลเมืองก็ยิ่งอารมณ์ดี อาบแช่อยู่ในควันธูปมานานหลายร้อยปี เคยเห็นคำวิงวอน ความปรารถนาและความโง่เขลา แล้วก็มีความลำบากใจ ความจริงใจและความจนใจที่มีต่อเรื่องราวทางโลกของผู้คนมากมายที่มาจุดธูปกราบไหว้ เสิ่นเวินที่ตอนมีชีวิตอยู่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ซื่อสัตย์ภักดีรู้แต่จะตอบบุญคุณประเทศ ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่เข้าใจเรื่องราวทางโลกมากยิ่งขึ้น บางครั้งขนาดพระโพธิสัตว์ดินเผาก็ยังมีไฟโทสะ โมโหชายหญิงที่รู้จักแต่จะขอร้องเทวดาฟ้าดิน แต่ไม่รู้จักลงมือทำด้วยตัวเอง โกรธพ่อค้าร่ำรวยที่ในหัวมีแต่เรื่องสกปรกเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำๆ แล้วก็มีทั้งเสียใจกับความโชคร้าย เดือดดาลกับความไม่เอาไหนของคนบางคน เรื่องราวบนโลกมีมากมาย คนบนโลกมีหลากหลาย ในช่วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะสลายหายไป ความคิดทั้งหลายแหล่ผุดลอยขึ้นมา เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองร่างทองมองเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ยืนอยู่นอกประตูด้วยความคิดที่ประดังประเดเข้าหา
แล้วจู่ๆ เสิ่นเวินก็ฝืนประคองลมหายใจเฮือกสุดท้าย บังคับให้เรือนกายที่ล่องลอยมั่นคงขึ้นอีกสองสามส่วน กล่าวว่า “เสิ่นเวินมีเรื่องอยากจะขอร้องเป็นครั้งสุดท้าย จะทำหรือไม่ทำ เจ้าสามารถพิจารณาเองได้ เสิ่นเวินไม่บังคับ”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ท่านเทพอภิบาลเมืองพูดมาได้เลย”
เสิ่นเวินถาม “หากตอนนี้แคว้นไฉ่อีมีกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาปรากฏกาย เจ้าจะให้ความช่วยเหลือหรือไม่? ต่อให้จะเป็นเพียงความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นหากเกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แล้วเจ้าอยู่ห่างที่แห่งนี้ไปไม่ไกล สามารถร่ายใช้เวทอภินิหารช่วยให้ชาวบ้านแคว้นไฉ่อีข้ามผ่านหายนะไปได้อย่างปลอดภัย? ครั้งเดียว แค่ครั้งเดียวก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านเทพอภิบาลเมืองโปรดวางใจ ไม่ว่าฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีจะทรงมีพระปรีชาหรือไม่ ขอแค่ข้าได้ยินว่าแคว้นไฉ่อีมีอันตราย จะต้องมาเยือนที่นี่อย่างแน่นอน แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าจะทำเท่าที่ความสามารถของตัวเองอำนวยเท่านั้น หวังว่าเทพอภิบาลเมืองจะเข้าใจ”
ใบหน้าของเสิ่นเวินเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม พึมพำกับตัวเองว่า “ดีมาก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
อันที่จริงในใจของเทพอภิบาลเมืองร่างทองผู้นี้รู้สึกละอายไม่น้อย เพราะเขากำลังประเมินจิตใจของคน เสิ่นเวินเชื่อใจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเชื่อว่าขอแค่ไม่เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่บนมหามรรคาแห่งการฝึกตน อนาคตของอีกฝ่ายจะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นขอแค่เด็กหนุ่มยังมีความรู้สึกต่อแคว้นไฉ่อี ยิ่งลงมือช้าเท่าไหร่ ขอบเขตยิ่งสูง ก็ยิ่งมีผลประโยชน์ต่อแคว้นไฉ่อีมากขึ้นเท่านั้น
เสิ่นเวินมองไปยังสีท้องฟ้ามืดทะมึนนอกศาลเทพผืนดิน ในใจขมฝาด ข้าเสิ่นเวินคงทำให้แคว้นไฉ่อีได้เพียงเท่านี้แล้ว
เสิ่นเวินหลุดออกจากภวังค์ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องเศษชิ้นส่วนร่างทองที่พูดถึงก่อนหน้านี้ ข้าพูดไปแค่ครึ่งเดียวคือเรื่องต้นกำเนิดและระดับขั้นของมัน ส่วนประโยชน์ของมันนั้น คล้ายคลึงกับ…เคล็ดลับการสังหารมังกรที่มีประโยชน์อย่างถึงที่สุด แต่ธรณีประตูกลับสูงมาก หากเป็นคนปกติ ในมือกำเศษชิ้นส่วนร่างทองไว้หลายสิบชิ้นหรือถึงร้อยชิ้น เกรงว่าก็คงไม่มีความหมายใดๆ แต่หากคนที่ได้ครอบครองเศษชิ้นส่วนมีสหายที่เดินไปบนเส้นทางของเทพ นั่นก็คือสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้อย่างแท้จริง คือวัตถุวิเศษก่อนกำเนิดแห่งใต้หล้า เป็นประเภทที่ล้ำค่าหายากอย่างถึงที่สุด หรือหากกษัตริย์ของแคว้นหนึ่งมอบมันให้กับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำในแคว้นตัวเองก็ย่อมต้องถือว่าเป็นของพระราชทานชั้นเยี่ยม ถอยไปพูดอีกก้าว วันหน้าเมื่อเดินใกล้ไปถึงยอดเขา แล้วเอามันไปขายให้กับคนที่มองค่าออก ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองคำ ขอบเขตก่อกำเนิด ก็สามารถตั้งราคาได้สูงเทียมฟ้า ไม่ว่าราคาไหนก็ไม่ถือว่าสูงเกินเหตุ!”
เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด จดจำทุกอย่างไว้ขึ้นใจ
เสิ่นเวินยิ้มบางๆ “โปรดยื่นมือออกมา”
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างเลื่อนลอย
เสิ่นเวินยื่นมือไปควักตรงหน้าอกของตัวเอง กำเป็นหมัดแล้วยื่นมันให้กับเฉินผิงอัน พอคลายหมัดออกก็ปล่อยของชิ้นหนึ่งที่อยู่ใจกลางฝ่ามือวางเบาๆ ไว้บนมือเฉินผิงอัน
เป็นวัตถุสีทองขนาดเท่าไข่ห่านชิ้นหนึ่ง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น กะพริบตาปริบๆ
เสิ่นเวินกล่าวยิ้มๆ “ในซากปรักหักพังของสนามรบ วัตถุหยินที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามตามหาอย่างยากลำบาก แท้จริงแล้วก็คือวิญญาณของวีรบุรุษผู้กล้า เทพแห่งสงครามที่ตายไป ข้าเสิ่นเวินมีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิต เมื่อตายไปได้ถูกฮ่องเต้แคว้นไฉ่อีแต่งตั้งให้เป็นเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ ร่างทองทั้งร่างมีระดับสูงพอสมควร แม้อาจจะเทียบกับเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงไม่ได้ แต่จิตใจแห่งบุ๋นของ…ร่างทองร่างนี้! กลับไม่ด้อยไปกว่าเทพอภิบาลเมืองของทวีปใดทั้งนั้น!”
เสิ่นเวินในเวลานี้คล้ายย้อนกลับไปตอนอายุยี่สิบอีกครั้ง เวลาหลายสิบปีที่พากเพียรเล่าเรียนอย่างยากลำบาก สุดท้ายเป็นดั่งปลาหลีกระโดดข้ามประตูมังกร ตอนเช้าทำนา ตอนเย็นเป็นขุนนางในราชสำนัก เปี่ยมไปด้วยปณิธานและความห้าวหาญ ใช้สถานะของจอหงวนก้าวเดินเป็นผู้นำอยู่ในวังหลวง ทุกสิ่งที่ทำไปไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล แต่เพื่อใบหน้าที่เปื้อนความสุขของปวงประชา
หลังจากเทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินอดีตบัณฑิตส่งมอบหัวใจบุ๋นร่างทองดวงนั้นมาก็คล้ายได้ปลดภาระหนักอึ้งลง ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องฮวงจุ้ยของสถานที่แห่งนี้มาหลายร้อยปี วันนี้ในที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อนแล้ว เฉินผิงอันแบมือค้างอยู่นาน เสิ่นเวินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนหัวใจบุ๋นดวงนั้น ยิ้มบางเอ่ยว่า “มิอาจโบยบินได้สูงทัดเทียมกัน ขอเพียงใจผูกพันรู้ใจกันก็พอ เซียนซือน้อย วันหน้าต้องอ่านตำราให้มาก!”
เฉินผิงอันเก็บหัวใจบุ๋นร่างทองเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับกล่องไม้สีเขียวอย่างระมัดระวัง
เด็กหนุ่มโค้งตัวคารวะด้วยสถานะของบัณฑิตผู้น้อย
แต่เสิ่นเวินกลับคารวะกลับคืนด้วยสถานะของบัณฑิตรุ่นเดียวกัน
เฉินผิงอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินก้าวเข้าไปในศาลเทพแห่งผืนดิน หยิบตราประทับแม่น้ำและภูเขาคู่นั้นออกมา ถามเบาๆ ว่า “ท่านเทพอภิบาลเมือง ข้าชื่อว่าเฉินผิงอัน มาจากเมืองหลงเฉวียนต้าหลี อาจารย์ฉีของที่นั่นมอบตราประทับคู่นี้ให้กับข้า บอกว่าหากได้พบเจอภูเขาและแม่น้ำสามารถประทับตราลงไปในแผนที่ได้ ก่อนหน้านี้ที่สุสานไร้ญาติมีปราณหยินเข้มข้นมาก ข้าก็เลยไหว้วานให้คนหาแผนที่ฉบับหนึ่งมาจากจวนเจ้าเมือง ประทับตราลงไป ผลลัพธ์ดูเหมือนว่าโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาจะพลิกกลับ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกปีศาจมาสร้างค่ายกลก่อความวุ่นวายในเมืองแยนจือ หากใช้วิธีนี้จะได้ผลหรือไม่? จะสามารถสยบปราณปีศาจที่พวกเขาสร้างไว้ได้หรือไม่?”
เสิ่นเวินถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าขอจับดูสักหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!