นับตั้งแต่การต่อสู้บนถนนเส้นเล็กกับหม่าขู่เสวียน มาจนถึงปะทะกับผีงามโครงกระดูก และเทพอภิบาลเมืองที่ธาตุมารเข้าแทรกในศาลเทพอภิบาลเมือง อันที่จริงตอนนี้สภาพร่างกายของเฉินผิงอันถือเป็นลูกธนูสุดแรงบินไปชั่วขณะ
ก็เหมือนอย่างที่หลิวเกาซินคิด เขาต้องการการพักผ่อนเพื่อปรับลมปราณมากที่สุด เหมือนการเดินทางบนภูเขา ระยะทางครึ่งแรกยังเดินได้สบายๆ แต่พอยิ่งเดินไปนานเข้า ฝีเท้าก็ยิ่งต้องหนักอึ้ง จนถึงระยะทางช่วงท้าย ต่อให้แค่ก้าวเดินเพิ่มขึ้นจากเดิมแค่ก้าวเดียวก็อาจจะเดินได้อย่างยากลำบากเหมือนคนแบกภูเขาไว้บนบ่า
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก้มตัวลง ถือเหล็กหมาดหิมะที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจมีเทพช่วย’ ด้ามนั้นไว้ในมือ การมองเห็นของเขาเริ่มพร่าเลือน เฉินผิงอันสะบัดศีรษะเบาๆ นึกถึงปีนั้นตอนที่หัดเรียนขึ้นรูปเครื่องปั้นที่เตาเผามังกร เขากลัวความผิดพลาดมากที่สุด เพราะความผิดพลาดแค่ก้าวเดียวก็อาจจะตัดสินได้ว่าเครื่องปั้นในมือชิ้นนั้นจะกลายเป็นเครื่องตกแต่งในบ้านของฮ่องเต้ หรือเป็นหนึ่งในเศษชิ้นส่วนของภูเขาเครื่องปั้นที่ไร้ค่าจนเทียบเท่าดินสักกองก็ยังไม่ได้
เฉินผิงอันพยายามรักษาลมหายใจให้สงบมั่นคง เริ่มใช้ปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ไปวาดยันต์ ลมปราณของผู้ฝึกลมปราณมีให้ใช้ได้อย่างไม่ขาดสาย ไหลวนโคจรไม่หยุด แม้ว่าการวาดยันต์จะพิถีพิถันในข้อที่ว่าต้องวาดให้เสร็จในรวดเดียว แต่เมื่อเทียบกับการวาดยันต์ของชาวยุทธ์แล้วกลับง่ายกว่ามาก
ส่วนเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะพังภินท์ไปนานแล้ว หากคิดจะวาดยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เพียงพอสักใบก็จำเป็นต้องเผาผลาญพลังจิตจำนวนมหาศาล แทบไม่ง่ายไปกว่าการปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าติดต่อกันยี่สิบเอ็ดหมัดเลย
จรดพู่กันวาดยันต์ ห้ามเร็วจนเกิดความผิดพลาด และห้ามช้าจนเกินไป
บนระเบียงที่เงียบสงัดไร้ผู้คน
ในมือของเด็กหนุ่มจับเหล็กหมาดหิมะ ก้มตัวลงวาดยันต์ ลงน้ำหนักพู่กันอย่างมั่นคง ทว่าทวารทั้งเจ็ดกลับมีเลือดไหลริน
ส่วนข้อที่ว่าต้องสิ้นเปลืองยันต์สีทองแผ่นหนึ่งที่ตัวเขาเองก็รู้มูลค่าของมันดีเพื่อเด็กหญิงที่เพิ่งพบหน้ากัน จะคุ้มค่าหรือไม่ เฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
หลังจบเรื่องจะรู้สึกเสียดายหรือไม่ คิดดูแล้วเฉินผิงอันที่เป็นดั่งปู่โสมเฝ้าทรัพย์ย่อมต้องรู้สึก แต่นั่นเป็นเรื่องในภายหลัง ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที อย่างมากก็แค่ดื่มเหล้าดับทุกข์
ยันต์ปราณหยางส่องไฟที่ถูกวาดลงบนกระดาษยันต์สีทอง สำเร็จด้วยดี!
เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดจนสะอาด ก้าวพรวดๆ ด้วยฝีเท้าล่องลอยไปยังห้องโถงหลัก เมื่อเขายื่นยันต์ในมือไปให้ผู้เฒ่า ผู้เฒ่าอึ้งตะลึง รับยันต์มาด้วยสองมือทั้งที่สีหน้ายังเหลือเชื่อไม่คลาย ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นหนักอึ้งนั้นแทบจะพุ่งออกมาจากกระดาษยันต์สีทองอยู่แล้ว ผู้เฒ่าจึงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าใช้แล้วนะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับยิ้มๆ “ใช้เลย!”
ผู้เฒ่าย่อตัวลง ใช้สองนิ้วคีบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้น ตวาดเบาๆ ว่า “ยันต์จงลอย!”
ยันต์สีทองไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าหน้าแดงก่ำ อับอายขายหน้ายิ่งนัก รีบปรับลมปราณทั้งหมดในร่างตัวเองแล้วตวาดอีกครั้ง “ลอย!”
ยันต์สีทองถึงได้ลุกไหม้ดังพรึ่บ ทว่ากลับไม่ได้เผาไหม้จนเหลือเพียงเถ้าถ่าน กลับกันคือมีแสงรัศมีสีทองกลุ่มใหญ่ลอยออกมา
เจ้าเมืองหลิวที่ไม่รู้ความลี้ลับที่แท้จริงจุ๊ปากชื่นชม ทว่าหญิงชราที่อุ้มดาบถึงกับเบิกตากว้างจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
ผู้เฒ่าไม่กล้าชักช้า แข็งใจโคจรลมปราณอีกครั้ง ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้น สองนิ้วประกบกันชี้ไปยังแสงสีทองเข้มข้นเหมือนสายน้ำไหลกลุ่มนั้น ขยับริมฝีปากขมุบขมิบ “แยกหยินหยาง ผสานน้ำไฟ ไป!”
แสงสีทองค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดวงตาหยินข้างที่มีเลือดซึมออกมาไม่หยุดของเด็กหญิง แต่แสงสีทองส่วนใหญ่กลับผสานรวมเข้าไปในดวงตาหยางของนาง
และไม่นานก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าระหว่างดวงตาสองข้างของนางมีสะพานเล็กๆ ที่เกิดจากการเชื่อมต่อกันของเส้นด้ายสีทองถูกสร้างขึ้น แสงสีทองค่อยๆ ไหลจากตาซ้ายไปยังตาขวา
เด็กหญิงเจ็บปวดจนต้องกัดฟันกัดริมฝีปากของตัวเองจนแตก มือทั้งคู่จับที่เท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่น ร่างเล็กผอมแห้งสั่นสะท้านรุนแรงไปทั้งตัว ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เหลือเค้าเดิม เฉินผิงอันจับมือข้างหนึ่งของนางขึ้นมาเบาๆ ไม่ว่านางจะได้ยินเสียงของตนหรือไม่ เขาก็ยังเอ่ยปลอบใจนางเบาๆ อยู่ตลอดเวลา
“ยืนหยัดไว้ ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ มีชีวิตอยู่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น ต้องเชื่อว่าขอแค่ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เดี๋ยวก็จะมีทุกอย่างที่ต้องการเอง…”
หญิงชราระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่อยู่ จึงเดินไปที่ด้านหลังของผู้เฒ่าและเฉินผิงอัน ก้มหน้าลงจ้องมองการไหลรินของเส้นด้ายสีทองบนสันจมูกของเด็กหญิงอย่างละเอียด
หญิงชราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นเซียนกระบี่ที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จจริงๆ ด้วย”
ผิวหน้าของหญิงชรายับย่นเหมือนหนังไก่ เหี่ยวแห้งแก่โทรม แต่เวลานี้ดวงตาคู่นั้นของนางกลับหวานหยาดเยิ้มเหมือนดวงตาของสตรีสาวผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนคนหนึ่ง
นางสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มสะพายกล่องไม้ได้ในเสี้ยววินาที
นางรีบทิ้งกระบี่ที่อยู่ในอ้อมอก ถอยกรูดออกไปพร้อมหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ปลดถุงผ้าตรงเอวขึ้นมาแกว่ง กล่าวเสียงหวาน “เซียนกระบี่ท่านนี้ รู้สึกว่าลมปราณในร่างหยุดชะงักไม่ขยับไปข้างหน้าใช่หรือไม่? คิกคิก ไม่ต้องตื่นเต้น ก็แค่ ‘หิมะใหญ่ล้อมด่าน’ ที่ข้าน้อยสร้างขึ้นเพื่อเจ้าโดยเฉพาะเท่านั้น ไร้รสไร้กลิ่น ขอบเขตต่ำกว่าประตูมังกรลงไป ง่ายที่จะติดกับ ไม่น่าอายหรอก! อีกอย่างก็แค่ครึ่งก้านธูปที่มันทำให้มหาสมุทรลมปราณแข็งตัว บังคับลมปราณไม่ได้ อืม แล้วก็บวกกับจิตวิญญาณเหมือนถูกผนึกน้ำแข็ง จึงไม่สามารถใช้จิตบังคับกระบี่บินได้ก็เท่านั้น แน่นอนว่าขอแค่อดทนได้ถึงครึ่งก้านธูป เจ้าก็จะได้เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าต่อไปแล้ว”
ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ผู้เฒ่าอยู่ห่างจากประตูมังกรของห้าขอบเขตกลางไปไกลตั้งหนึ่งแสนแปดพันลี้ เขาจึงตกหลุมพรางไปนานแล้ว สีหน้าของเขาเหมือนกระดาษสีทองที่ซีดจาง วินาทีที่ ‘หญิงชรา’ ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ศีรษะของเขาก็เอียงไปข้างหนึ่ง ล้มตัวลงบนพื้น หลับใหลไม่ได้สติ
โชดดีที่จัดการเรื่องของเด็กหญิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หาไม่แล้วอาจต้องตายทั้งคู่ แน่นอนว่านี่คือผลลัพธ์จากความระมัดระวังของ ‘หญิงชรา’ ผู้นั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของนางคือเด็กหนุ่มสะพายกระบี่
หัวของเด็กหนุ่มเซียนกระบี่หนึ่งหัว แลกมาด้วยสมบัติอาคมลำดับสองในท้องพระคลังแคว้นกู่อวี๋หนึ่งชิ้น!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!