สำหรับคำพูดลึกลับที่ชุยฉานบ่มพึมพำเหล่านี้ ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาไม่เข้าใจ และอันที่จริงก็กลัวว่าจะตกหลุมพรางของเจ้าหมอนั่น
อย่าเห็นว่าหลินโส่วอี หลี่ไหว และยังมีอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับชุยฉานสักเท่าไหร่ แท้จริงแล้วลึกๆ ในใจน่าจะเคารพยำเกรง หรือถึงขั้นนับถือคนผู้นี้อยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่ามีเพียงหลี่เป่าผิง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รวมอยู่ในคนกลุ่มนี้ด้วย
ต้องเป็นเด็กหนุ่มชุยฉานที่กริ่งเกรงนางถึงจะถูก
จากคำบอกเล่าของหลิวเกาซิน เฉินผิงอันจึงรู้ว่าทุกที่ในเมืองล้วนมีไฟสงครามลุกโชน ทุกครั้งที่ยอดฝีมือในยุทธภพและผู้ฝึกตนบนภูเขาที่รวมสวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงกลับมาพักผ่อนและมาทำแผล ก็มักจะกลับออกไปช่วยกันสยบปีศาจต่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้สวีหย่วนเสียกับจางซานเฟิงยังได้ประมือกับยอดฝีมือฝ่ายมารที่อายุไม่มากคนหนึ่ง น่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่จัดวางค่ายกลวิชามาร ทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา สถานการณ์การต่อสู้ห้อมล้อมไปด้วยอันตราย ชายฉกรรจ์เคราดกถูกคู่ต่อสู้ใช้มือเปล่าฉีกกระชากเนื้อก้อนใหญ่ตรงหัวไหล่ออกไป ภายหลังนักพรตจงเมี่ยวพามัลละร่างทองเหลืองมาให้ความช่วยเหลือ จึงบีบให้มารที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมดุร้ายผู้นั้นถอยไปได้
อีกอย่างไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวพี่ชายของนางที่ออกจากเมืองไปได้อย่างปลอดภัยแล้วถึงได้พาอาจารย์ของนางกลับมาที่จวนอีกครั้ง หลังจากปิดประตูห้องหนังสือพูดคุยกับบิดาของนางอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์ก็พาพี่สาวใหญ่และพี่ชายรองของนางไปรอที่เรือนด้านหลัง ราวกับว่าเจอเรื่องบางอย่างที่ประหลาดมาก อีกอย่างยังแยกไม่ออกด้วยว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย หากเป็นเรื่องดี ทุกคนก็ปิติยินดี หากเป็นเรื่องร้าย ก็คงไม่ต้องพูดกันต่อ สรุปก็คือบิดากับอาจารย์ของนางต่างก็ไม่เต็มใจให้เด็กสาวหลิวเกาซินมีส่วนร่วมด้วย และคืนที่ผ่านมานางเองก็ยุ่งอยู่กับการช่วยดับไฟสงครามไปทั่วทุกหนแห่ง จึงไม่มีเวลาให้สนใจเรื่องนี้
อีกอย่างก็คือเด็กหญิงจวนจ้าวที่เฉินผิงอันช่วยชีวิตเอาไว้ และเด็กชายดื้อรั้นที่มีชีวิตอยู่เพื่อกันและกันกับเด็กหญิงได้ถูกพาตัวมาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองแล้ว
ขณะที่เฉินผิงอันกับหลิวเกาซินเดินเข้าไปใกล้กับห้องโถงก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศเคร่งเครียด จึงเดินเร็วๆ เข้าไปในห้อง พบว่าในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด นักพรตเต๋าวัยชราที่ชุดเต๋าขาดวิ่นนั่งหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เลือดสดไหลออกจากตำแหน่งหัวใจไม่หยุด ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลจนไม่รู้ว่าจะทำแผลตรงจุดไหนก่อน อยู่ในสภาพน่าเวทนาซึ่งมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า เจ้าเมืองหลิว สวีหย่วนเสีย นักพรตจางซานเฟิง ผู้เฒ่าที่ตรงเอวห้อยพู่กันหนึ่งด้ามต่างก็ยืนล้อมอยู่รอบกายนักพรตเฒ่าคนนั้น ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงส่ายหน้าให้ทุกคนเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความละอาย ส่วนเจ้าเมืองหลิวนั้นถอนหายใจยาวเหยียด
ผู้เฒ่าที่ใกล้ตายก็คือนักพรตจงเมี่ยวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความยโสและเป็นพ่อค้าหน้าเลือดผู้เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวในแวบแรกที่มอง
ผู้เฒ่ามีลักษณะสดใสของคนใกล้ตาย ดวงตาที่เดิมทีขุ่นมัวเริ่มใสกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน เขาเงยหน้าเอ่ยกับเจ้าเมืองหลิวยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลิว หากครั้งนี้เซียนซือของพรรคหลิงซีสามารถช่วยเหลือเมืองแยนจือ กำจัดมารน้อยใหญ่ได้สำเร็จ วันหน้าทั้งเด็กและคนชราหลายสิบชีวิตในครอบครัวข้าผู้เป็นนักพรตคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหลิวผู้เป็นเสมือนบิดาของราษฎรช่วยดูแลแล้ว”
เจ้าเมืองหลิวพยักหน้ารับ เอ่ยเสียงหนักแน่น “นักพรตจงเมี่ยวโปรดวางใจ ต่อให้วันใดวันหนึ่งข้าจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองแยนจือแล้ว ก็จะต้องบอกให้คนที่มารับตำแหน่งใหม่รู้เรื่องศึกในวันนี้ รู้ถึงความเสียสละทุ่มเทของนักพรตจงเมี่ยว สรุปคือ ข้าผู้เป็นขุนนางจะไม่ยอมปล่อยให้คนในครอบครัวของท่านนักพรตได้รับความอยุติธรรมเด็ดขาด”
นักพรตผู้เฒ่ายกมือคารวะขอบคุณอย่างยากลำบาก จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับจางซานเฟิงที่ตาแดงเล็กน้อย “จางซาน หากไม่เป็นเพราะเด็กโง่อย่างเจ้ายอมเสี่ยงตายไปช่วย เกรงว่าข้าผู้เป็นนักพรตคงถูกเล่นงานจนขาดใจตายคาที่ ไม่แน่ว่าอาจปล่อยให้ปีศาจตนนั้นหนีหายไปได้ มีหรือที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะยังมีโอกาสสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ยกดาบสังหารปีศาจตนนั้น…”
นักพรตเฒ่ากระแอมไอสำลักอย่างรุนแรง ทุกคนจึงเกลี้ยกล่อมไม่ให้ผู้เฒ่าพูดอีก
ชายฉกรรจ์เคราดกสวีหย่วนเสียถามเบาๆ ว่า “นักพรตเฒ่า ต้องการให้เรียกลูกหลานของท่านมาที่นี่หรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ
เจ้าเมืองหลิวจึงหันไปสั่งความข้ารับใช้ให้รีบไปแจ้งครอบครัวของนักพรตเฒ่าที่อยู่ในเมือง
นักพรตเฒ่าฉวยโอกาสที่ตัวเองยังเหลือความมีชีวิตชีวาเฮือกสุดท้ายคำนวณเวลาที่ลูกหลานจะเดินทางมาถึงที่นี่อยู่ในใจ เงียบพักไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองทุกคน แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “อันที่จริงข้าผู้เป็นนักพรตรู้ว่า ก่อนหน้านี้พวกเจ้าต่างก็ดูแคลนการกระทำที่เหมือนฉวยโอกาสปล้นสะดมตอนไฟไหม้ของข้า เพียงแต่ว่าอยู่ในวงการธุรกิจก็ต้องคุยภาษาธุรกิจ ผู้ฝึกตนอย่าได้อายที่จะพูดเรื่องการค้า อย่าหน้าบางที่จะพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเราไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้ป่ายปีน ไม่มีร่มเงาของบรรพจารย์คอยปกป้อง ได้แต่ไขว่คว้าหาเงินทอง ช่วงชิงโอกาสเสี้ยวหนึ่งมาด้วยตัวเอง ไม่ทำอย่างนี้ จะได้อย่างไร?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เงียบเสียงไปอีกครั้ง สีหน้าของเขาเลื่อนลอยคล้ายกำลังนึกถึงความรุ่งโรจน์ ความอัปยศ ความสูงส่งและความตกต่ำตลอดชีวิตที่ผ่านมา
เนิ่นนานหลังจาก ผู้เฒ่าก็เก็บความคิดทั้งหมดลง แล้วพลันทอดถอนใจ “แม้จะต้องรู้หลักของธุรกิจ แต่คนที่ฝึกตนก็ต้องรู้หลักของการเป็นคนด้วย ถูกไหม?”
ผู้เฒ่ากระแอมไอพลางหัวเราะกับตัวเอง “แต่อาจเป็นเพราะพรสวรรค์ของข้าผู้เป็นนักพรตย่ำแย่เกินไป รู้มานานแล้วว่าตัวเองหมดหวังบนมหามรรคา ก็เลยมีความคิดที่ไร้เดียงสาน่าขันอย่างนี้กระมัง คนที่ฝึกตนบนภูเขาอย่างแท้จริง มีหรือจะมีแต่กลิ่นเงินเต็มกาย แล้วมีหรือจะสนใจการเกิดแก่เจ็บตายของชาวบ้านด้านล่างภูเขา?”
ผู้เฒ่าเหม่อมองไปทางประตูใหญ่ราวกับกำลังมองหาเงาร่างที่คุ้นเคย พึมพำขึ้นมาว่า “ถูกคนเรียกว่านักพรตจงเมี่ยวมาทั้งชีวิต แค่คำคำเดียวก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้ ไม่อาจถูกคนเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่า ‘จงเมี่ยวเจินเหริน’ น่าเสียดาย! น่าเสียดายยิ่งนัก!”
หลังกล่าวคำว่าน่าเสียดายคำสุดท้าย เรี่ยวแรงความสดใสของผู้เฒ่าก็ลดฮวบลง การมองเห็นพร่าเลือน ลมหายใจแผ่วเบาสุดขีด เสียงเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน “ทำไมถึงยังไม่มาสักทีนะ…”
สุดท้ายผู้เฒ่าก็อยู่รอไม่ทันได้พบหน้าคนในครอบครัว เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ จากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้
ต่อให้ไม่ถือว่าตายตาไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้หลับตาจากไปอย่างสงบ เพราะดูเหมือนว่าผู้เฒ่ากำลังหรี่ตามองไปยังทิศไกล คล้ายอยากเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็มองเห็นได้ไม่ชัด
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นเงียบงัน
เฉินผิงอันเดินเข้าไปช่วยเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนักพรตเฒ่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!