แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อ หยุดมือที่ป่ายปัดไปมา หยิบตำราสองเล่มออกจากสาบเสื้อหน้าอกมาวางไว้เหนือศีรษะของตัวเองแต่โดยดี
น้ำเสียงแก่ชราที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดซึ่งแฝงไว้ด้วยถ้อยคำเย้ยหยันที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยไม่ต่างกันดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา “ใช้ได้จริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ที่ข้ามารเฒ่าหมี่ภาคภูมิใจที่สุด เรียนรู้วิชาได้ไม่กี่มากน้อย แต่กลับมีสันดานของมารเต็มเปี่ยม”
ฟันของเด็กหนุ่มกระทบกันดังกึกๆ คราวนี้เขากลัวแล้วจริงๆ
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงหันไปถ่มเลือดออกมาหนักๆ หนึ่งที พอเลือดสัมผัสโดนกำแพงก็กลายมาเป็นควันเลือดสีดำกลุ่มหนึ่ง
มารเฒ่าหมี่ที่จำศีลแฝงตัวอยู่ในเมืองแยนจือมาเกือบยี่สิบปีสบถด่าเบาๆ “เฉินเสี่ยวหย่ง เจ้าเซียนหลิวหลีตัวดี ต่อให้ครั้งนี้เจ้าหนีออกไปจากเมืองแยนจือได้สำเร็จ ข้าก็จะฆ่าสุนัขตกน้ำอย่างเจ้าให้จงได้!”
ผู้เฒ่าหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตารังเกียจ “ลุกขึ้นมาเถอะ เก็บตำราสองเล่มนี้ให้ดี ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้าต่างก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เจ้าก็ถือเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนตัวสั่นสะท้าน
มารเฒ่าหมี่หยิบตะเกียงน้ำมันขนาดเล็กดวงหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ดวงวิญญาณสองดวงก็ถูกดึงออกมาจากศพของลูกศิษย์ทั้งสอง แล้วพากันบินเข้ามาในตะเกียง ใบหน้าของลูกศิษย์ลอยขึ้นมาเหนือน้ำมันตะเกียงที่เหนียวหนืด เป็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด แต่เพียงไม่นานก็วูบหายไป ผสานรวมเป็นหนึ่งกับน้ำมันตะเกียง
ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มองดูอยู่เสียวสันหลังวาบ
ปลายตรอกเล็กสองฝั่งมีคนปรากฏกายฝั่งละคน พวกเขาเดินขยับเข้ามาใกล้ช้าๆ ซึ่งก็คือคู่สามีภรรยาที่ไปเยือนร้านขายข้าวสารก่อนหน้านี้ เอวของสตรีแต่งงานแล้วยักย้ายส่ายสะบัดยิ่งกว่ากิ่งหลิวที่ถูกลมแรงพัด “มารเฒ่าหมี่ บังเอิญจริง เจอกันอีกแล้ว”
สายตาของมารเฒ่าหมี่เปลี่ยนมาเป็นเย็นชา หัวเราะหยันกล่าวว่า “ทำไม คิดจะกลับคำรึ? พวกเราสองฝ่ายตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่า ถ้วยหลิวหลีเป็นของข้า สมบัติส่วนที่เหลือของตาเฒ่าเฉินเป็นของพวกเจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วกางกรงเล็บข้างหนึ่งเป็นตะขอครูดไปบนผนังช้าๆ ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม “พูดแบบนั้นก็จริง แต่ตอนนี้เซียนหลิวหลีทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง เขาแกล้งตายได้ แต่จะให้พวกเราสองผัวเมียรอความตายอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเขาคงไม่ได้ มารเฒ่าหมี่ เจ้าควรจะแบ่งกำไรให้พวกเราสักหน่อยหรือเปล่า อย่างไรก็ไม่ควรให้พวกเราสองผัวเมียเดินทางมาเสียเที่ยวหรอกกระมัง?”
สีหน้าของมารเฒ่าหมี่เดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวดำคล้ำ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก้มหน้า ขยับตัวไปยืนชิดมุมผนัง แอบกลอกตาเงียบๆ
……
บนป้อมเหนือกำแพงเมืองประตูตะวันออก เนื่องจากแม่ทัพหม่าพาทหารออกจากกำแพงเมืองเพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนด้านใน ตรงนี้จึงไม่มีคนคอยเฝ้ายามอีก
ชายหนุ่มสวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงด้านนอกชั้นบนสุดของป้อม ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ มองไปทางตรอกที่มารเฒ่าหมี่อยู่แล้วหลุดหัวเราะขำ “แค่ถ้วยหลิวหลีซังกะบ๊วยเล็กๆ ใบเดียว วัตถุไร้ราคาที่ปีนั้นข้าใช้ดื่มเหล้า ต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตกแบบนี้ด้วยหรือ? หนึ่งพันปีให้หลัง แคว้นไฉ่อีเปลี่ยนมาเป็นน่าเบื่อขนาดนี้แล้วหรือไง?”
เขามองเพียงครั้งเดียวก็ไม่อยากจะเสียเวลามองอีก ยังคงหันไปมองทางจวนเจ้าเมืองบ่อยครั้งกว่า “จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ หึหึ คิดไม่ถึงสินะว่า ‘ยันต์แผ่นนี้’ ที่เจ้าสั่งให้คนนำมาเพิ่มให้เมื่อสองร้อยปีก่อนจะถูกเอามาเก็บไว้ในเมืองแยนจือด้วยภาพลักษณ์ของตราประทับเทียนซือ แล้วก็น่าจะเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของฮ่องเต้แคว้นไฉ่อี ถึงไม่ยอมเพิ่มปราณวิญญาณรักษาไว้ให้ดี อีกทั้งการปรากฏขึ้นของสุสานรรกร้างก็น่าจะทำลายแผนการที่พวกเจ้าสองฝ่ายจัดวางไว้ เป็นเหตุให้ข้าหลุดออกจากกรงขังได้ในที่สุด ที่สุดแล้วคนคำนวณก็ไม่สู้ฟ้าลิขิตจริงๆ”
มือหนึ่งของเขาจับราวระเบียง อีกมือหนึ่งทำมุทราคิดคำนวณสถานการณ์ของแคว้นไฉ่อีโดยมีจุดเริ่มต้นเป็นเมืองแยนจือตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อนจนถึงตอนนี้ แล้วจู่ๆ เขาก็ยิ้ม มองไปทางทิศเหนือ ไม่ใช่แค่ทิศเหนือของแคว้นไฉ่อี แต่มองไปยังทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป จุ๊ปากพูด “ยอดฝีมือ สมกับเป็นยอดฝีมือ แคว้นไฉ่อีขาดสมบัติพิทักษ์แคว้นที่สืบทอดต่อกันมานานไปชิ้นหนึ่ง พรรคหลิงซีที่ปกป้องแคว้นก็สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล ถูกคนขโมยอาภรณ์เซียนไฉ่อีสมบัติพิทักษ์พรรคชิ้นนั้นไป ประเทศเพื่อนบ้านสามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นกู่อวี๋มีหรือจะยอมนิ่งดูดาย? ฉวยโอกาสที่คนป่วยเอาชีวิตของเขา นี่คือหลักการที่ง่ายมาก บวกกับที่ฮ่องเต้ละเลยกิจบ้านเมืองมานานปี ราชสำนักและคนใกล้เคียงเมืองหลวงแคว้นไฉ่อีจึงวิพากษ์วิจารณ์กันมานานแล้ว ขอแค่เกิดภัยพิบัติขึ้นอีกครั้ง ย่อมต้องทำให้ชาวบ้านเป็นเดือดเป็นแค้น ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นก่อจลาจลครั้งใหญ่ และความวุ่นวายครั้งนี้จะนำมาซึ่งสงครามโกลาหลของหลายแคว้น”
‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูพยักหน้า “ในเมื่อแนวโน้มของสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรรับลูกศิษย์สักสองสามคน”
เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว เรือนกายพลันพร่าเลือน ชั่วพริบตาก็หายวับไป
นาทีถัดมาเขาก็เดินออกมาจากในตรอกคับแคบมืดสลัวแห่งนั้น
มารเฒ่าหมี่และสองสามีภรรยาที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายตกใจจนไม่กล้ากระดุกกระดิก
การบดขยี้ทางด้านพลังอำนาจเช่นนั้นก็เหมือนกับกุ้งปูตัวเล็กตัวน้อยที่ไหลตามกระแสน้ำไปอย่างเชื่องช้า แล้วไปเจอเข้ากับเจียวหลงที่ร่างใหญ่โตจนแทบจะอัดแน่นเต็มท้องน้ำ
หลิ่วชื่อเฉิงที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีชมพูไม่เสียเวลาพูดให้มากความ มาถึงก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สองสามีภรรยาที่อยู่ในตรอกแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปทันที แม้แต่ขี้เถ้าสักเม็ดก็ไม่เหลือไว้ ส่วนพวกอาวุธวิเศษ อาวุธอาคมหรือเงินเกล็ดหิมะอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องหายไปจากฟ้าดินตามไปด้วย
ดอกบัวสีชมพูที่รัดพันกิ่งก้านบนอาภรณ์ไม่ใช่วัตถุที่ตายนิ่ง พวกมันโบกสะบัดอยู่บนชุดเต๋าอย่างมีชีวิตชีวา ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอบอวลเป็นระลอก
เดิมทีชุดนักพรตเต๋านี้ก็เหมือนบ่อดอกบัวบ่อหนึ่งอยู่แล้ว
ขนาดเป็นมารเฒ่าหมี่ที่พบเห็นมรสุมมามากมายก็ยังเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เอ่ยถามว่า “เหตุใดเซียนซือไม่สังหารข้าไปพร้อมกันด้วย?”
‘หลิ่วชื่อเฉิง’ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สวมชุดนักพรตเต๋าแล้วต้องกำจัดปีศาจปราบมารเท่านั้นรึ? จะไม่อนุญาตให้ข้าสวมมันเพื่อความสวยงามบ้างเลยหรือไง?”
มารเฒ่าหมี่ไร้คำพูดตอบโต้
แม่งเอ๊ย นี่ต้องเป็นยักษ์ใหญ่บนวิถีมารอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นประเภทที่ยืนอยู่บนยอดเขาสูงสุดในตำนานด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!