รู้แค่ว่าผู้เฒ่าไม่เคยออกจากบ้าน นิสัยประหลาด เข้ากับคนได้ยาก แต่ฝีมือในการรักษาช่วยชีวิตคนกลับดีเยี่ยม แน่นอนว่าราคาก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ขอแค่ไม่มีเงินจ่าย ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมโลงศพรอไว้เลย ถึงอย่างไรร้านขายโลงศพก็ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันอยู่แล้ว
วันนี้หยางเหล่าโถวยังคงนั่งสูบยาอยู่ในเรือนด้านหลัง เพียงแต่ว่าในมือมีหนังสือเล่มเล็กที่เพิ่งพิมพ์ใหม่ของต้าหลีอยู่หนึ่งเล่ม หนังสือเล่มนี้มาจากสำนักผู้ประพันธ์ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเก้าสาขาสิบสำนักวิทยาของใต้หล้าไพศาล
เพียงแต่ว่าเมื่อวันเวลาผันผ่านก็เป็นเหมือนสำนักโม่หนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่ไม่โดดเด่นอีกต่อไป และสำนักผู้ประพันธ์ก็กลายมาเป็นหนึ่งในเมธีร้อยสำนักที่ธรรมดามากที่สุด ส่วนใหญ่จะเขียนตำราประวัติศาสตร์เกร็ดพงศาวดารที่ไม่เข้าพวก รวมไปถึงนิยายรักประโลมโลกที่พวกชาวบ้านร้านตลาดชื่นชอบ ดึงเอาความรู้ในวงกว้างมาสร้างเป็นมุขตลก แน่นอนว่ายังมีการชี้นำให้เห็นถึงปัญหาของสังคมในแต่ละยุคสมัยและเสนอแนะให้มีการแก้ไขปัญหา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วชื่อเสียงของฮ่องเต้ อัครเสนาบดีหลายคนในประวัติศาสตร์ล้วนมาจากคำวิจารณ์ของสำนักผู้ประพันธ์ที่ใส่ร้ายเสียจนไม่เหลือดี
ยกตัวอย่างเช่นขุนนางผู้มีความสามารถคนหนึ่งที่ทั้งชีวิตมีปณิธานอยู่ที่การปฏิวัติราชสำนัก ถึงท้ายที่สุด เรื่องของเขาที่คนรุ่นหลังรับรู้กลับไม่ใช่นโยบายอันดีในการปกครองประเทศ แต่เป็นเรื่องที่หนึ่งคืนเขาใช้สตรีสิบคน คืนใดไร้สตรีไม่มีความสุข
หรือยกตัวอย่างเช่นปราชญ์วิญญูชนแห่งลัทธิขงจื๊อที่ยึดหลักสามอมตะได้แก่สร้างคุณความดี สร้างคุณธรรม รังสรรค์ถ้อยคำที่กลายมาเป็นคนชอบหลับนอนกับนางชีในตอนกลางคืน สุดท้ายได้เป็นเพียงตาแก่หน้าไม่อายที่ชอบร่วมประเวณีแบบผิดศีลธรรม ดังนั้นสัจธรรมแห่งพิธีการยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในบทความคำสอนของคนผู้นี้จึงกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไร้แก่นสาร
ดังนั้นอริยะของสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อจึงจำเป็นต้องออกมาประนามอย่างเดือดแค้น “สำนักผู้ประพันธ์ปลายแถว เป็นอันดับหนึ่งด้านการชักนำแคว้นและชาวประชาไปในทางที่ผิด!”
เพียงแต่ว่าหลี่เซิ่งผู้กำหนดและควบคุมกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กลับสามารถใจกว้างกับเรื่องนี้ไม่ต่างจากท่าทีที่มีต่อเผ่าปีศาจ
ดังนั้นสำหรับหยางเหล่าโถวที่เปิดหนังสืออ่านในเวลานี้ จึงไม่เห็นดีเห็นงามกับใครในศึกตรีจตุของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางทั้งนั้น อย่างมากสุดก็แค่เต็มใจยกนิ้วโป้ง พูดคำว่าดีต่อจตุที่หมายถึงวัตถุประสงค์ของความรู้ ‘สี่’ ประการเท่านั้น ส่วนคำว่า ‘ตรี’ ของอริยะลัทธิขงจื๊อที่ถึงแม้จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหย่าเซิ่ง (อริยะลำดับรอง) แต่ตำแหน่งในศาลบุ๋นกลับอยู่เป็นอันดับที่สาม หยางเหล่าโถวรับไม่ได้อย่างยิ่ง เขาคิดว่าคำว่า ‘วางมาดภูมิฐาน’ ที่เปลี่ยนจากคำชมเป็นคำเหน็บแนมนั้นเหมาะสมกับคนผู้นี้ที่สุด
หนังสือนิยายที่มีกลิ่นหมึกหอมอ่อนๆ ในมือหยางเหล่าโถวเล่มนี้ ลูกจ้างในร้านไปซื้อมาจากร้านหนังสือใหญ่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ในหนังสือเล่มนี้เขียนบรรยายประวัติของจอมยุทธ์มากมายในยุทธภพที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียง เวลาที่พวกเขาเผชิญกับสภาวะจนตรอกยากลำบากมักจะต้องเอ่ยประโยคที่สร้างความฮึกเหิม ทำให้เลือดร้อนเดือดพล่านอยู่เสมอ ส่วนใหญ่ก็มีแต่คำพูดทำนองว่าสวรรค์ไม่มีตา ทุกครั้งที่หยางเหล่าโถวเห็นประโยคพวกนี้ก็คล้ายจะอารมณ์ดีไม่น้อย เพียงแต่ว่าสุดท้ายเมื่อปิดหน้าหนังสือลง เขากลับหัวเราะรื่นเริงพลางกล่าวว่า “คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าน่ะ ปล่อยสวรรค์ไปเถอะ”
หลังหยุดหัวเราะ ผู้เฒ่าก็เก็บตำรา พ่นควันขาวคลุ้งโขมง จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ วัตถุลักษณะคล้ายศาลเจ้าขนาดเล็กหล่นลงมาบนพื้น ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ใช้กระบอกยาสูบเคาะลงบนพื้นข้างเท้า เอ่ยเรียกเบาๆ “ซ่งชิ่ง เจ้าออกมานี่”
ตรงหน้าประตูศาลขนาดเล็กที่อยู่บนพื้นมีควันสีเขียวกลิ้งหลุนๆ และไม่นานก็ก่อตัวกันเป็นลักษณะของผู้เฒ่าใบหน้าเหี่ยวย่น พอเห็นหยางเหล่าโถวก็ประสานมือคารวะ กล่าวเสียงทุ้ม “คารวะเสินจวิน” (คำเรียกขานเทพเซียนฝ่ายชาย)
หยางเหล่าโถวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงเอ่ยสั่งความว่า “อนุญาตให้เจ้าออกไปจากเขตพื้นที่นี้ แต่ให้อยู่ในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป ขอบเขตของเจ้ายังคงเดิมเหมือนในอดีต การเดินทางของเจ้าครั้งนี้คือทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มรรคาของเฉาจวิ้นบุตรหลานสกุลเฉาตรอกหนีผิง ขอแค่บ่อกระบี่ในทะเลสาบหัวใจของเฉาจวิ้นถูกซ่อมแซมจนกลับคืนมามีสภาพเดิม ลูกหลานสกุลซ่งสายของเจ้าก็จะได้ลุกผงาด ได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์ในโลกมนุษย์อย่างน้อยหนึ่งร้อยปี หลังจากนี้สภาพการณ์ของลูกหลานตระกูลเจ้าจะเป็นดั่งคำว่าโชคเคราะห์เกิดขึ้นเองไม่ได้ นอกจากคนจะสร้างมันขึ้นมา”
ผู้เฒ่าคนนั้นอยู่ในสภาพของวิญญาณหยินเท่านั้น แต่กลับยังมีควันเขียวก่อตัวเป็นกระบี่เล่มยาวห้อยไว้ตรงเอว ปราณกระบี่ไม่มีแล้ว แต่ปณิธานแห่งกระบี่กลับเปี่ยมล้น เห็นได้ชัดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้เฒ่าต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งอย่างแน่นอน พอได้ยินคำสัญญาจากหยางเหล่าโถว สีหน้าของผู้เฒ่าก็เผยความยินดี ประสานมือคำนับอีกครั้ง “ขอบพระคุณเสินจวิน!”
จากนั้นหยางเหล่าโถวก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ยันต์สีทองหลายแผ่นพลันแปะไปทั่วร่างของผู้เฒ่าควันเขียว คือยันต์คุ้มกันกายที่รับประกันว่าผู้เฒ่าวัตถุหยินจะเดินทางอยู่ท่ามกลางฟ้าดินได้อย่างปลอดภัย จิตใจของฝ่ายหลังสงบลงได้มาก พลังอำนาจพลันเพิ่มพูน ปณิธานกระบี่ท่วมท้น หากไม่เป็นเพราะหยางเหล่าโถวพ่นควันกลุ่มใหญ่มาบดบังเอาไว้ เกรงว่าพลังของเขาที่ทะยานขึ้นมาคงจะสร้างความแตกตื่นให้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนในเขตการปกครองหลงเฉวียนไปแล้ว
หยางเหล่าโถวกล่าว “ไปเถอะ ตอนนี้เฉาจวิ้นเดินทางไปที่เมืองหลวงต้าหลีแล้ว เจ้าสามารถบอกเรื่องนี้กับเขาได้โดยตรง ซ่งชิ่ง หากเจ้ากล้าละเมิดกฎ อย่าว่าแต่เจ้าซ่งชิ่งที่จะวิญญาณแหลกสลายในทันที ข้ายังรับรองด้วยว่าจะตัดรากถอนโคนสกุลซ่งสายของเจ้าให้สิ้นซาก จะทำให้ควันธูปของเจ้าขาดหาย ในอนาคตอีกพันปีหมื่นปีจะไม่เหลือร่องรอยของสกุลซ่งสายเจ้าอีกแม้แต่นิดเดียว”
ผู้เฒ่ากุมหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าไม่กล้าล่วงเกินเสินจวินแน่นอน!”
หยางเหล่าโถวแค่นเสียงหยัน “พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าจะดูที่การกระทำของเจ้าเอง”
ผู้เฒ่ารับคำสั่งแล้วหายวับไป
หลังจากวัตถุหยินในศาลหลังน้อยจากไป หยางเหล่าโถวก็เงยหน้าขึ้นมองม่านฟ้าหนาหนักของใต้หล้าไพศาล เงียบงันไปนาน สุดท้ายถึงพูดว่า “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่ คนกระทำ ฟ้ากำลังมอง หากเป็นเช่นนี้จริง แล้วจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร?”
……
ชั้นสองของภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมืองเล็กนอกหมู่บ้านวารีกระบี่ ตรงตำแหน่งที่นั่งติดกับหน้าต่าง หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มนั่งกินหม้อไฟอยู่ฝั่งตรงกันข้าม บนโต๊ะวางจานอาหารไว้จนเต็มแน่น มีทั้งหน่อไม้ กระเพาะหมู เนื้อแกะ ไส้ห่าน เลือดเป็ด…
แน่นอนว่ายังมีสุรารสดีอีกสองกา รวมไปถึงเครื่องปรุงรสเผ็ดจัดจ้านสีแดงเข้มข้นที่ปรุงด้วยตัวเอง สามารถทำให้คนที่ไม่กินเผ็ดหนังศีรษะชาหนึบได้ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กินเผ็ดขนาดนี้ แต่ทนคำโน้มน้าวจากผู้อาวุโสซ่งที่นั่งอยู่ใกล้กันไม่ไหว เขาบอกว่ามาที่ภัตตาคารแห่งนี้หากไม่ตักน้ำจิ้มรสเผ็ดเจ็ดแปดชนิดหลากสีปรุงกินเอง ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เฉินผิงอันถึงได้แข็งใจตักน้ำจิ้มทุกชนิดใส่ลงไปในถ้วยอย่างละหนึ่งช้อน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!