ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่ซ่งอวี่เซาพบกระบี่เล่มนี้คือที่บ่อลึกเบื้องใต้น้ำตก อีกอย่างในหินยักษ์ที่เป็นดั่งเสาเอกของบ่อน้ำที่เฉินผิงอันใช้ฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูก็มีกลไกลับซ่อนอยู่ ปีนั้นเพราะโชควาสนาซ่งอวี่เซาจึงได้เจอกับกระบี่เล่มนี้โดยบังเอิญ ทั้งเวทกระบี่และชื่อกระบี่ต่างก็เติมเต็มซึ่งกันและกัน กาลต่อมาถึงได้มีอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ย
หลังจากซ่งเกาเฟิงบุตรชายตายไป ซ่งอวี่เซาก็เปลี่ยนกระบี่เล่มใหม่ เอากระบี่ตั้งตระหง่านที่ฝักกระบี่ทำขึ้นจากไม้ไผ่เขียวเล่มนี้กลับไปซ่อนไว้ในหินยักษ์อีกครั้ง ซ่งอวี่เซาเคยพลิกเปิดตำรามากมาย สุดท้ายพบบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ว่ากันว่ากระบี่เล่มนี้ถูกเทพแห่งการต่อสู้คนหนึ่งของทวีปอื่นสร้างขึ้นมาเองกับมือ แต่มาทำหายที่แจกันสมบัติทวีป จากนั้นก็ไม่พบร่องรอยอีก มีบันทึกท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ประกายแสงผ่าห้าขุนเขา ปราณกระบี่ฟันแม่น้ำใหญ่’
ซ่งอวี่เซาในเวลานี้พกกระบี่เล่มยาวที่ฝักกระบี่เริ่มกลายเป็นสีเหลือง ทอดสายตาไปทางขบวนทัพของราชสำนักที่พลันลดความเร็วลง ไม่ผิดต่อนามของกระบี่คู่ใจ ผู้เฒ่าชุดดำก็ยืนตระหง่าน สีหน้าไร้ความกริ่งกลัวเช่นกัน
‘ทัพใหญ่ปราบกบฏ’ ที่มีเกือบหมื่นคนของแคว้นซูสุ่ยทัพนี้ พลทหารม้าสามพันนายในนั้นคือญาติสายตรงของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาว ทุกคนล้วนมีชาติกำเนิดมาจากสมรภูมิชายแดน คือทหารกล้าอันดับหนึ่งของแคว้นซูสุ่ย นอกจากนี้ยังมีทหารกล้าที่ระดมมาจากฐานทัพของท้องถิ่นอีกสี่ห้าพันนาย ส่วนอีกพันกว่าคนคือมือปราบที่ดึงตัวมาจากที่ว่าการของเมือง รวมไปถึงจอมยุทธ์ในยุทธภพที่ถูกซื้อตัวมาด้วยเงินจำนวนมาก แน่นอนว่ายังมียอดฝีมือในยุทธภพอีกบางส่วนที่แม่ทัพใหญ่ฉู่หาวรวบรวมมาด้วยตัวเอง ซึ่งทุกคนแทบจะมาจาก ‘สินเจ้าสาว’ ที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งปีนั้นโอรสสวรรค์เป็นพ่อสื่อสู่ขอสตรีผู้นั้นให้เขาด้วยตัวเอง แม้ว่าพ่อตาของเขาจะตายไปเพราะถูกตามล้างแค้น แต่ก่อนหน้านั้นจะดีจะชั่วเขาก็เคยเป็นผู้นำในยุทธภพมานานถึงยี่สิบปี แถมยังมีราชสำนักเป็นที่พึ่ง แอบเลี้ยงกองกำลังอย่างลับๆ ไว้มากมาย หลังจากเขาตาย กองกำลังเหล่านั้นก็กลายมาเป็นข้ารับใช้ เป็นหน่วยกล้าตายของลูกเขยอย่างฉู่หาว
ต่อให้ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ สตรีที่นอนเคียงหมอนฉู่หาวก็ยังอาฆาตแค้นหมู่บ้านวารีกระบี่อย่างลึกล้ำ กลายเป็นเงื่อนตายในใจที่ไม่อาจคลายออกได้
สำหรับเรื่องนี้ฉู่หาวเองก็รู้ดี แม้ปากจะเออออคล้อยตาม แต่เขาไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามแน่นอน หากฮ่องเต้ยังไม่เปิดปาก เขาก็ไม่มีทางใช้สถานะของจวนแม่ทัพใหญ่ออกหน้าไปท้าทายปรมาจารย์ใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์ที่มีวิชากระบี่เป็นเลิศของแคว้นซูสุ่ย ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงคอยพร่ำตำหนิอย่างไม่พอใจ ยังดีที่คราวนี้หมู่บ้านวารีกระบี่รนหาที่ตายเอง ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ฉู่หาวจึงได้โอกาสนำทัพตามคำบัญชา ทุกอย่างจึงสอดคล้องกันไปหมด
บอกตามตรง ภรรยามีปมในใจที่ยากจะคลายออก ฉู่หาวที่เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลซึ่งใช้ชีวิตอยู่ริมชายแดนมานานหลายปี เคยเห็นการวางแผนเพื่อความสามัคคีและความแตกแยกในวงการขุนนางมาก่อน เขาเองก็มีปมในใจเหมือนกัน เจ้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าซ่งเกาเฟิงแต่งงานนานแล้ว พวกเขาสองสามีภรรยารักใคร่กันดี แถมยังมีบิดาเป็นอริยะกระบี่ เจ้าอาศัยอะไรถึงจะทำให้เขาต้องหย่าภรรยามาแต่งงานกับเจ้า เพียงแค่เพราะเจ้าเป็นบุตรสาวของผู้นำยุทธภพ? จากนั้นพอเจ้าโมโห ก็เลยจ้างคนไปทำลายสวนดอกไม้? ทำลายชีวิตของผู้หญิงคนนั้น? หากเปลี่ยนมาเป็นเขาฉู่หาวก็คงยกทัพใหญ่ใต้บังคับบัญชาของตัวเองเข่นฆ่าให้เลือดนองเป็นสายน้ำไปแล้ว
แต่จะว่าไปแล้ว ฉู่หาวก็ไม่ใช่ซ่งเกาเฟิงผู้น่าสงสารที่ต้องรับเคราะห์กรรมอย่างไร้สาเหตุผู้นั้น ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ได้แต่งงานกับสตรีที่งดงามดุจบุปผา ในมือยังมียอดฝีมือของยุทธภพให้เรียกใช้งานอีกหลายสิบคน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ทำการค้าที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้ ฉู่หาวผู้กล้าแกร่งจึงไม่ได้ยึดติดกับปมในใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ อีกอย่างวันที่อดีตผู้นำยุทธภพล้างมือลาจากวงการ ซ่งเกาเฟิงที่รูปโฉมถูกทำลายใช้กำลังของเขาคนเดียวสังหารผู้เฒ่า ก็ทำให้สตรีผู้นั้นสงบสำรวมขึ้นกว่าเก่าเยอะมาก โดยรวมแล้วก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นภรรยาที่ดี ช่วยเหลือสามีดูแลอบรมบุตร ผูกสัมพันธไมตรีกับผู้คนในเมืองหลวงและฮูหยินตราตั้งคนอื่นๆ เป็นวงกว้าง ช่วยเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับฉู่หาวไม่น้อย หนทางในอนาคตของเขาจึงราบรื่นกว้างไกลขึ้นมาก ฉู่หาวรู้สึกว่าข้อนี้ต้องขอบคุณเจ้าคนแซ่ซ่งผู้นั้นที่มอบบทเรียนให้นาง หาไม่แล้วคนที่ต้องลำบากย่อมเป็นตน
ครั้งนี้ก่อนจะออกจากเมืองหลวง ภรรยาของเขาแอบติดตามมาด้วย ตอนนี้นางแอบอาศัยอยู่ในเมืองอย่างลับๆ นางเสนอว่าหลังจากเหยียบย่ำหมู่บ้านวารีกระบี่ให้ราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่เฒ่าไม่ต้องตายก็ได้ หากเขาหนีได้ก็ปล่อยไป แต่เจ้าเศษสวะซ่งเฟิ่งซานที่ว่ากันว่าหน้าตาเหมือนมารดาผู้นั้นต้องแหลกสลายกลายเป็นผุยผง ถึงเวลานั้นนางจะเอาโกศใส่อัฐิของซ่งเฟิ่งซานไปทุบทำลายที่หน้าหลุมศพสุนัขชายหญิงคู่นั้นให้เละ ให้พวกเขาได้เห็นว่าควันธูปของสกุลซ่งขาดหายไปกับตาตัวเอง
พิษงูเขียวใบไม้ หรือพิษตัวต่อเหลือง หากรักษาทันเวลายังหายได้ แต่พิษที่ร้ายที่สุดก็คือใจของสตรี
ไม่เสียแรงที่เป็นภรรยาเอกซึ่งเขาฉู่หาวแต่งเข้าบ้านมา ดีจริงๆ!
ฉู่หาวเก็บความคิดทั้งหมดลง มือหนึ่งดึงเชือกบังคับม้า อีกมือหนึ่งยกขึ้นบังแสงอาทิตย์ ควบม้าเหยาะย่างพลางมองไกลไปเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์
ถนนทางหลวงของที่แห่งนี้กว้างขวาง สองข้างทางก็เป็นพื้นที่ราบเรียบ ไม่เพียงแต่เหมาะให้พลเดินเท้าเดินขบวนผ่าน ต่อให้ควบม้าศึกพุ่งไปก็ไม่ลำบากมากนัก ตาแก่ซ่งที่ถืออำนาจวางโตในยุทธภพช่างเป็นคนบุ่มบ่ามไม่รู้จักกลัวตาย ไม่เข้าใจการทำสงครามเลยจริงๆ แล้วยังกล้าทำตัวเป็นวีรบุรุษ สมควรจะแหลกเป็นจุลไปพร้อมกับหมู่บ้านวารีกระบี่ของเขานั่นแหละ
ฉู่หาวมองผู้เฒ่าที่ต่อให้เป็นคนอยู่ไกลถึงเมืองหลวงก็ยังเคยได้ยินชื่อแล้วกระตุกมุมปาก ลดมือลง ใช้ฝ่ามือถูดาบตัดกระดาษสีทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ เอ่ยพร้อมยกยิ้ม “น่าเสียดายมาดที่ห้าวหาญนี้นัก ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าเวลาคนรุ่นหลังพูดถึงเรื่องนี้ก็มีแต่จะพูดว่าข้าฉู่หาวสังหารอริยะกระบี่คนหนึ่งหน้ากองทัพ”
คำกล่าวที่ว่าต้านทานศัตรูนับหมื่นในสนามรบก็เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรูเกินจริงของนักประพันธ์ห่วยๆ เท่านั้น บนอาณาเขตที่กว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นซูสุ่ยนี้ มีทหารกล้าที่ไม่อาจดูแคลน พละกำลังเปี่ยมล้น เชี่ยวชาญการวางกับดักหลุมพรางก็จริง หากมีม้าเทพ (เป็นคำเปรียบเปรยถึงม้าที่ดีมีพละกำลังแข็งแรง เดินทางได้พันลี้) ให้ขี่ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก ทว่าหนึ่งคนต่อกรหมื่นศัตรู? ไม่เคยมีอยู่จริง
ฉู่หาวมีประสบการณ์การต่อสู้มาเป็นร้อยๆ ครั้ง ไม่ใช่ปัญญาชนที่ดีแต่นอนเสพสุขอยู่บนเตียง แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นใครที่เทพขนาดนั้นมาก่อน
ซ่งอวี่เซายืนอยู่ที่เดิม ในเมื่อเดินมาถึงที่นี่แล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่คิดจะถอยกลับแม้เพียงก้าวเดียว เพียงแต่ว่าพอหันมองไปข้างหลังก็ให้รู้สึกจนใจไม่น้อย
เจ้าเฉินผิงอันจะมาร่วมวงสนุกอะไรด้วย?
คราวนี้เฉินผิงอันสะพายกล่องกระบี่ที่บรรจุกำจัดปีศาจปราบมารมาด้วย อีกทั้งยังรัดเชือกไว้อย่างแน่นหนา
เขาวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงข้างกายของซ่งอวี่เซา
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าทะเลาะกับคนของหมู่บ้านเหิงเตาที่ศาลาริมน้ำ ข้าเคยพูดว่า ‘เดินทางอยู่ในยุทธภพ เป็นตายต้องรับผิดชอบเอง’ เฉินผิงอัน เจ้ารู้ความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ซ่งอวี่เซาโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าเข้าใจกะผีน่ะสิ! หวังซานหูผู้นั้นชี้ปลายฝักดาบเข้าใส่เจ้า นี่ก็คือการท่องอยู่ในยุทธภพของนาง ข้ารับใช้ของหัวหน้าหมู่บ้านที่ง้างธนูยิงใส่คนลับหลัง นี่ก็ใช่ ทุกครั้งที่หลานชายของข้าซ่งเฟิ่งซานหาคนมาประลองกระบี่ก็ใช่เหมือนกัน และการที่ข้าซ่งอวี่เซามาขวางอยู่หน้ากองทัพใหญ่ในวันนี้ก็ยิ่งไม่แตกต่าง!”
ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดรวบรัด สุดท้ายหลงเหลือเพียงเสียงถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้าไม่ควรมา”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ไม่ว่าวันนี้ผู้อาวุโสซ่งจะทำอะไร เรื่องที่ข้าต้องรับผิดชอบมีเพียงเรื่องเดียว นั่นคือพาผู้อาวุโสซ่งออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นี้เท่านั้น ข้าจะไม่ฆ่าใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “จะพยายามไม่ฆ่าใคร”
ซ่งอวี่เซาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พยายามปรับอารมณ์ให้สงบนิ่งเพื่อพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเท่ากับเป็นสองทัพที่คุมเชิงกันอยู่ เจ้าบอกว่าจะไม่ฆ่าคนก็ไม่ฆ่าคนได้หรือ? เจ้าคิดว่านี่เป็นเหมือนเด็กเล่นขายของหรือไง ในกองทัพใหญ่มีทหารม้าหลายพันนายที่สามารถควบตะบึงอย่างอิสระเสรี มีพลเดินเท้าสวมเกราะหนักที่จัดขบวนรบยิ่งใหญ่ดุจขุนเขา และยังมีพลธนูอีกหลายพันที่เล็งธนูมาที่เจ้า ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พร้อมระดมยิงใส่เจ้าเหมือนฝนห่าใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือดีอีกหลายสิบคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่หาว รวมไปถึงพวกนายกองที่ได้ครอบครองธนูเทพของสำนักการทหารอยู่ในมือ ธนูเทพนี้คืออาวุธหนักที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเพื่อใช้รับมือกับผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะ ต่อให้เป็นข้าซ่งอวี่เซา หากโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน!”
เฉินผิงอันถามกลับ “ในเมื่ออีกฝ่ายร้ายกาจขนาดนี้ ผู้อาวุโสมาที่นี่ก็เพื่อพาตัวเองมาตายหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!