เฉินผิงอันห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง ผู้ติดตามซึ่งเป็นทหารม้าสกุลฉู่คนหนึ่งกระชากสายบังเหียนควบม้ามาดักขวางหน้าอย่างเดือดดาล ก่อนจะบังคับม้าให้ชูสองขาหน้าขึ้นสูง หมายเหยียบลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มผู้นั้นโดยแรง!
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วกระโจนไปข้างหน้า ค้อมเอวมาปรากฏตัวตรงท้องม้า จากนั้นก็ยืดเอวตรงทันใด ใช้ไหล่กระแทกชนจนสี่ขาของม้าตัวนั้นลอยกลางอากาศ ร่างกระเด็นไปข้างหลัง!
เฉินผิงอันพุ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง พลันเพิ่มพละกำลังลงบนขาสองข้าง แล้วดีดตัวขึ้นท่าทางเหมือนในปีนั้นที่เด็กหนุ่มกระโดดข้ามธารน้ำดุจอินทรีถลาลมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ฉู่หาวที่เพิ่งดิ้นรนลุกขึ้นมาได้ถูกหมัดหนึ่งกระแทกเข้าใส่ศีรษะ ประกายแสงวิเศษของเสื้อเกราะน้ำค้างหวานจากสำนักการทหารเปล่งวาบ เจิดจ้าพร่าตา ส่วนตัวของฉู่หาวเองนั้นผงะหงายไปด้านหลัง ตาเหลือกค้างครู่หนึ่งก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง
และเฉินผิงอันเองก็มาถึงข้างกายของคนที่สาบานตนว่าจะเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบแม่ทัพใหญ่ของทวีปให้ได้ผู้นี้ เขาย่อตัวลง เอื้อมมือไปจับลำคอของฉู่หาวแล้วลุกขึ้นยืน หิ้วลำคอของแม่ทัพใหญ่แคว้นซูสุ่ยให้ลอยอยู่ระดับเดียวกับไหล่ของตัวเอง แกว่งเบาๆ หันหน้าไปพูดกับซ่งอวี่เซาด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสซ่ง จับตัวเขาได้แล้ว!”
สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณสองคนที่รับใช้เชื้อพระวงศ์หันมาสบตากัน ต่างคนต่างมองออกถึงความจนใจในดวงตาของอีกฝ่าย
ซ่งอวี่เซาไม่ได้บีบบังคับใคร เขาเก็บกระบี่ตั้งตระหง่านกลับเข้าฝัก กุมมือคารวะให้สองผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของแคว้นซูสุ่ย “ล่วงเกินพวกเจ้าแล้ว รบกวนนำความไปบอกฮ่องเต้ของพวกเจ้าด้วยว่า วันหน้าไม่ว่าราชสำนักจะจัดการอย่างไร ข้าผู้อาวุโสและหมู่บ้านวารีกระบี่ต่างก็พร้อมน้อมรับไว้”
จากนั้นผู้เฒ่าก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ปราณกระบี่ดุจสายฝนที่สาดกระเซ็น ขาม้าทุกตัวของทหารม้าซึ่งเป็นข้ารับใช้ตระกูลฉู่หลายสิบคนที่พยายามสุดชีวิตเพื่อพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันล้วนถูกตัดขาด
ผู้เฒ่าพลิ้วกายไปหยุดอยู่ข้างเฉินผิงอัน “ไป! ขอแค่ไปจากสนามรบแห่งนี้ กลับไปที่หมู่บ้าน เจ้ากับข้าก็ปลอดภัยแล้ว จิตใจทหารของกองทัพจากราชสำนักแตกระส่ำกันไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีภัยคุกคามอะไรอีก”
พลเดินเท้าของแคว้นซูสุ่ยตกอยู่ในความเงียบงัน
ทหารม้าสกุลฉู่ที่ถูกขวางอยู่นอกขบวนพลเดินม้าคงจะตระหนักได้ถึงความผิดปกติทางแถบธงใหญ่นี้ หลังจากที่ไม่สามารถติดต่อกับขบวนเดินเท้าได้ก็เริ่มบุกฝ่าขบวนรบที่ขวางหน้าภายใต้การนำของแม่ทัพทหารม้าคนหนึ่ง ทว่าพวกเขาทั้งไม่กล้าหันหอกหันคมดาบเข้าใส่ทหารม้าสายอื่น แล้วก็ไม่กล้าสั่งยกเลิกขบวนเดินเท้าเบื้องหน้าโดยพละการ จึงได้แต่ค่อยๆ แยกออกเป็นสองสาย พยายามเปิดทางเส้นหนึ่งให้ม้าเร็วได้ห้อตะบึง
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “ข้ายังมียันต์ย่อพื้นที่ให้ใช้ได้อีกหนึ่งครั้ง”
ซ่งอวี่เซากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคราวนี้ข้าจะระวังหลังให้เอง จำไว้ว่าอย่าหันกลับไปเจาะขบวนรบด้านหลังอีก พยายามถอยไปทางฝั่งขวามือ พวกเราจะกลับผ่านเส้นทางภูเขา ไม่อย่างนั้นคงยากจะรับมือกับทหารม้าสกุลฉู่ทั้งสามพันนาย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กระชากลำคอของฉู่หาวพาใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วยกัน
นั่นถึงทำให้ทุกคนรู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่เด็กหนุ่มถึงสามารถหายตัวไปจากที่เดิมได้หลายครั้ง
ร่างของเด็กหนุ่มหายไปไม่เหลือเงา แต่ร่างของแม่ทัพใหญ่ฉู่หาวแทบจะเรียกได้ว่าลอยขวางไปกลางอากาศ คล้ายกระโปรงยาวที่ลากตามหลังสตรีคนหนึ่งอยู่กลางฟากฟ้า
หลังจากที่เซียนกระบี่เด็กหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็เริ่มแสดงมาดแห่งเซียนที่ทะยานลมเดินทางไกลอีกรอบ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนแรกเด็กหนุ่มถึงได้เซไปทีก้าว หลังจากนั้นค่อยเดินกลางอากาศได้เหมือนเดินบนพื้นราบ
ซ่งอวี่เซาเองก็พุ่งตัวติดตามเฉินผิงอันหนีห่างออกจากสมรภูมิรบแห่งนี้ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง เพียงไม่นานเขากับเฉินผิงอันก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ สองจุด สุดท้ายลับหายเข้าไปในผืนป่าด้านข้างที่ห่างไกลจากถนนทางหลวง
เข้ามาในป่าแล้ว สถานการณ์ก็ถือว่ามั่นคงแล้ว ซ่งอวี่เซานึกถึงที่เฉินผิงอันเดินเซก่อนหน้านี้ก็ถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล “ได้รับบาดเจ็บภายในหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีบรรพบุรุษน้อยท่านหนึ่งกำลังกลั่นแกล้งข้าน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”
ครั้งแรกที่เหินลมอยู่เหนือหัวของกองทัพใหญ่ อันที่จริงเขาเหยียบบนชูอีกับสืออู่ แต่ครั้งที่สองชูอีอารมณ์ไม่ดีแล้ว จึงจงใจทำให้เฉินผิงอันเหยียบลงบนความว่างเปล่า จากนั้นมันก็กลับไปนอนหลับอุตุอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ โชคดีที่ความเร็วของสืออู่มากพอจึงตามทันฝีเท้าของเฉินผิงอัน
ซ่งอวี่เซากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ว่ากันว่าทางทิศเหนือมีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เลื่อนสู่ขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่สามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้สมใจปรารถนา ยังสามารถเหินลมได้เหมือนเซียนกระบี่ที่บังคับกระบี่อีกด้วย”
นึกถึงสิ่งที่จูเหอเคยพูดตอนอยู่บนภูเขาฉีตุนได้ เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วหลุดปากพูดไปว่า “นั่นคือขอบเขตแปดของวิถีวรยุทธ์ เรียกว่าขอบเขตจำแลงขนนก เพราะว่าสามารถทะยานลมได้จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ขอบเขตเดินทางไกล’ สง่างามมากเลยล่ะ”
ซ่งอวี่เซาพูดด้วยน้ำเสียงฉงน “เหนือขอบเขตหกขึ้นไปไม่ใช่เรียกรวมกันว่าขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้หรอกหรือ?”
เฉินผิงอันเองก็มึนงงเหมือนกัน เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “เท่าที่ข้าได้ยินมาไม่ใช่แบบนั้น เหนือขอบเขตหกขึ้นไปเริ่มพิถีพิถันด้านการหล่อหลอมจิตใจแล้วก็จริง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีคุณสมบัติให้ถูกเรียกว่าเทพแห่งการต่อสู้ ข้ารู้แค่ว่าขอบเขตที่เจ็ดขอบเขตร่างทองถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าปรมาจารย์น้อย ขอบเขตที่แปดจำแลงขนนก ขอบเขตที่เก้ายอดภูเขา จากนั้นยังมีขอบเขตสิบ ตอนนี้ต้าหลีของพวกเรามีขอบเขตสิบอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็คืออ๋องเจ้าแคว้นซ่งจ่างจิ้ง เป็นเสด็จอาของคนผู้หนึ่งที่เป็นเพื่อนบ้านข้าในตรอกหนีผิง ข้าเคยพบซ่งจ่างจิ้งในตรอกหนึ่งครั้ง ร้ายกาจมาก แค่มองก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ”
อริยะกระบี่เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยรู้สึกเหมือนฟังตำราสวรรค์ที่ไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!