เงินเกล็ดหิมะเกือบสองพันเหรียญจากหมู่บ้านวารีกระบี่ บวกกับเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยจากเด็กชายชุดเขียว เมื่อเอามารวมกันแล้วก็ได้ประมาณสี่พันเหรียญเงินหิมะน้อย
พอเฉินผิงอันคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้อารมณ์ดีขึ้นมา
เพียงแต่ว่าพอเขาคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งก็อารมณ์ดีไม่ออกอีก
เว่ยป้อและผู้เฒ่าแซ่ชุยต่างก็เคยพูดในทำนองเดียวกันว่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปถึงภูเขาห้อยหัวต้องเลื่อนสู่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้ได้เสียก่อน เพราะมีเพียงทำแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะหยัดยืนอยู่บนกำแพงเมืองได้อย่างมั่นคง ใช้ปณิธานกระบี่อันไร้รูปลักษณ์ที่เปี่ยมล้นของใต้หล้าไพศาลมาหล่อหลอมเรือนกาย สร้างพื้นฐานของจิตวิญญาณให้แน่นหนา ซึ่งไม่ว่ากับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสามหลอมลมปราณคนใดก็ล้วนมีผลประโยชน์มหาศาล ตามคำบอกของผู้เฒ่า หากยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็อย่าไปที่กำแพงเมืองให้อับอายขายขี้หน้าคนอื่นเลย ต่อให้เดินขึ้นไปได้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถคลานกลับลงมา มอบกระบี่ให้แม่นางคนนั้นที่ด้านล่างกำแพงเมืองปราณกระบี่เสร็จ เขาเฉินผิงอันก็คงได้แต่เบิกตากว้างๆ มอง แล้วรีบไสหัวกลับมาเป็นราชันแห่งขุนเขาลั่วพั่วแต่โดยดีเท่านั้น
แต่เฉินผิงอันอยากจะอยู่ที่นั่นให้นานสักหน่อย
เพียงไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินผ่านถนนเบื้องล่างภูเขา มีประมาณเจ็ดแปดคน ทั้งเด็กและคนแก่ล้วนมีหมด การแต่งกายแตกต่างกันไป แต่ละคนดูไม่เหมือนคนธรรมดา คนทั้งสามที่อยู่บนเนินเพียงแค่ชำเลืองมองครั้งเดียวแล้วก็ไม่มองอีก
ออกมานอกบ้าน ต้องระวังนักพรตเต๋าและหลวงจีน ขึ้นเขาข้ามแม่น้ำ หลีกเลี่ยงเด็กและสตรีแต่งงานแล้ว
นี่คือกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรของบนภูเขา หากเจอคนบนเส้นทางเดียวกันที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง อยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เพราะสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะเจอกับคนที่อารมณ์ร้ายหรือไม่
คนพวกนั้นก็กวาดตามองคนทั้งสามแล้วก็ไม่พินิจพิจารณาอะไรให้มากความเช่นกัน
แม้ว่าจะยังไม่ถึงท่าเรือ แต่ระยะทางแค่ไม่กี่สิบลี้ จะเดินได้อีกนานเท่าไหร่กัน? การจากลาใกล้จะมาถึง เดิมทีตกลงกันแล้วว่าจะไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันเคยชินที่จะดื่มเหล้าแล้ว จางซานเฟิงจึงพูดว่าจะดื่มเหมือนกัน เฉินผิงอันจึงส่งน้ำเต้าไปให้ ผลคือสวีหย่วนเสียก็ขอดื่มหนึ่งคำ จึงเวียนกันไปมาอยู่แบบนี้ คนทั้งสามนั่งอยู่บนยอดเขาขนาดเล็ก ผลัดกันดื่มเหล้าคนละคำ ดื่มเงียบๆ ไม่หยุด
สุดท้ายชายฉกรรจ์เคราดกพึมพำว่า “ข้าเคยเป็นคนในกองทัพ แถมยังอยู่ในกองทัพชายแดนที่มีสงครามไม่ว่างเว้น แค่เพราะทนรับกับการที่คนข้างกายต้องตายทุกวันไม่ไหว ถึงได้เริ่มออกมาท่องอยู่ในยุทธภพ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายก็ยังมีคนตายอยู่ดี พวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ข้าสวีหย่วนเสียเกิดในตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ จึงถือเป็นคนประเภทโยนพู่กันไปเข้าร่วมกับกองทัพ แน่นอนว่าตระกูลของข้าไม่ใช่ตระกูลใหญ่สูงศักดิ์อะไร แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น หลายปีแล้วที่ข้าไม่ได้กลับบ้าน ครอบครัวดีๆ ที่บิดามารดาต่างก็มีสุขภาพแข็งแรง ตอนนี้กลับเหมือนกลายไปเป็นภูมิลำเนาเดิมไปแล้ว”
ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าจนเหล้าเปรอะไปทั่วเคราที่รกรุงรัง เขานั่งขัดสมาธิ สายตาหม่นมัว “ช่วงเวลาที่เป็นทหารอยู่ชายแดน ตำราที่ข้าเคยเล่าเรียนมามีการอธิบายถึงความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอยู่บ้าง พวกสหายในกองทัพส่วนใหญ่ล้วนไม่พูดคุยเรื่องพวกนี้ พวกเขาเอาแต่สร้างคุณความชอบทางการทหาร มุ่งมั่นเก็บเงิน ไม่ก็พยายามแก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป ฆ่าศัตรูในสนามรบก็คือแค่ฆ่าจริงๆ มีแต่ความสะใจ ทว่าหากถูกศัตรูฟันหนึ่งดาบ ยิงลูกธนูใส่หนึ่งดอก เวลาที่ดึงลูกธนูออกแล้วเย็บแผลกลับไม่สะใจแล้ว ลูกผู้ชายตัวโตๆ นอนอาบเลือดอยู่ในกระโจมทหารบาดเจ็บ ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ใครก็หัวเราะเยาะใครไม่ออก…”
นักพรตหนุ่มทิ้งตัวนอนไปข้างหลัง เขาดื่มเหล้าอีกไม่ได้จริงๆ แล้ว เฉินผิงอันคงแบกคนสองคนพร้อมกันไม่ไหวกระมัง เหม่อมองท้องฟ้าสีครามสดใสพลางเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์มักจะบอกว่าข้าฉลาด มีฐานกระดูก ปีนั้นไม่ไปสอบเคอจวี่ แต่ขึ้นเขามาฝึกตน ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางเสียเปรียบแน่ แต่ข้ารู้ซะเมื่อไหร่ว่าความฉลาดและฐานกระดูกของข้าอยู่ที่ไหน หากพวกมันถูกสุนัขคาบไปกินเหมือนกัน ข้าก็อยากจะขอสุนัขพวกนั้นจริงๆ ว่าคืนมันมาให้ข้าเถอะ พวกเจ้าเอาไปก็ใช้ไม่ได้ แต่ข้าจางซานเฟิงที่ต้องลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารต้องใช้มันนี่นา เมื่อมีตบะก็ไม่ต้องรู้สึกละอายใจอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าพวกชาวบ้านที่จ่ายเงินจ้างข้าจะต้องพลัดพรากจากครอบครัว ไร้ที่พึ่งที่ปลอดภัยอีก…”
เฉินผิงอันมีข้อดีอย่างหนึ่งเวลาดื่มเหล้า นั่นคือต่อให้ดื่มมากแค่ไหน ก็จะยิ่งพูดน้อยมากกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงรับฟังความในใจจากเพื่อนทั้งสองเงียบๆ เขานั่งอยู่บนพื้น ใช้สองมือกอดน้ำเต้าบรรจุเหล้า ทอดสายตามองไปไกล มองไปทางทิศเหนือครู่หนึ่ง แล้วก็หันกลับไปมองทางทิศใต้ นาทีนี้เฉินผิงอันกลับไม่มีความกลัดกลุ้มมากนัก
สุดท้ายตอนที่ลงจากภูเขาไปท่าเรือตระกูลเซียน นักพรตหนุ่มที่คิดว่าตัวเองจะเมาจนขาดสติไม่ได้เด็ดขาดก็ต้องให้ชายฉกรรจ์เคราดกเป็นคนแบกลงไป
ฝีเท้าของสวีหย่วนเสียนับว่ายังมั่นคง เพียงแต่ว่ายังพูดจ้อไม่หยุด ท่องบทกลอนของกองทัพชายแดนหลายบท สุดท้ายพูดว่า “เหล้าอร่อยพันจอกขาด เอิ้ก…”
เรอหนึ่งทีแล้วก็ไม่มีประโยคถัดไปอีก
เฉินผิงอันจึงรับคำต่อด้วยรอยยิ้ม “สาวงาม…แค่สองคนก็มากแล้วนะ”
สวีหย่วนเสียมองค้อน “น่าเสียดายตำแหน่งเซียนกระบี่โดยแท้!”
เฉินผิงอันรีบแก้ไขให้ถูกทันที “ต้องเซียนกระบี่ใหญ่!”
นักพรตหนุ่มละเมอพูดเบาๆ ว่า “ยังมีเทียนซือใหญ่ด้วย…”
……
ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีนี้กลับเป็นเมืองเล็กๆ เจริญรุ่งเรืองที่ไม่มีกำแพงเมืองโอบล้อมแห่งหนึ่ง นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเห็นภาพลวงตาเหมือนได้ย้อนกลับยังหลงเฉวียนบ้านเกิด บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ อันที่จริงผู้ฝึกลมปราณไม่ถือว่ามีมากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ตั้งรกรากอยู่ที่นี่มานานหลายปี รวมไปถึงพวกพ่อค้าจากสถานที่ต่างๆ บนถนนทุกเส้นมีแต่ร้านค้า เมื่อมาถึงเมืองเล็ก จางซานเฟิงก็ตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ส่วนเฉินผิงอันและสวีหย่วนเสียต่างก็สร่างเมากันนานแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!