เฉินผิงอันลองคำนวณคร่าวๆ หากหนึ่งวันนอกจากกินนอนหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าจะใช้เวลาสักสองสามชั่วยามแล้ว พยายามฝึกหมัดให้ได้วันละเก้าถึงสิบชั่วยาม บวกกับที่ตอนนี้การออกหมัดเปลี่ยนจากช้ามาเป็นเร็ว จึงถือว่าได้เปรียบมาก ถ้าอย่างนั้นทุกวันก็จะสามารถฝึกเดินนิ่งหกก้าวได้ประมาณสามพันหกร้อยครั้ง สองเดือนหกสิบวันก็น่าจะฝึกหมัดได้ประมาณสองแสนครั้ง
ฟังแล้วเหมือนหลักการคำนวณง่ายๆ แต่พอปฏิบัติจริงขึ้นมา เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดมาจนคุ้นเคยรู้ดีว่านั่นทำให้คนเป็นบ้าได้เลย ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองมีความเพียรพยายามและอดทนมากพอก็ยังรู้สึกว่ายากลำบาก การฝึกหมัดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ไปต้าสุยหรือลงใต้มายังแคว้นซูสุ่ย ถึงอย่างไรตลอดทางก็ยังเจอน้ำเจอภูเขา มีทัศนียภาพหลากหลายรูปแบบให้ชม แต่การนั่งเรือครั้งนี้ต้องอยู่ในพื้นที่แคบๆ ที่ถูกจำกัด จึงไม่ต่างอะไรกับการเผชิญหน้าอยู่แต่กับผนังห้องที่แห้งเหี่ยว
ที่สำคัญที่สุดคือการเดินนิ่งเป็นคนละเรื่องกับความลำบากยากเข็ญที่เผชิญตอนฝึกหมัดกับผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ฝ่ายหลังทดสอบความสามารถในการทนรับความเจ็บปวดแบบ ‘มีดเร็วเจ็บแปบเดียว’ ทางกายและทางจิตวิญญาณ ฝ่ายแรกมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายกว่า ทว่าแต่ละหมัดที่ปล่อยออกไป ยิ่งเป็นในช่วงท้ายก็ยิ่งต้องเจอกับความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดคว้านเลาะเนื้ออย่างยาวนาน ก็เหมือนวันหิมะตกหนักที่เดินทางจากทางเลียบหน้าผาแคว้นหวงถิงเข้าสู่ด่านต้าหลีวันนั้นที่การสูดลมหายใจในเฮือกสุดท้ายเหมือนกลืนมีดลงท้อง
มิน่าเล่าผู้เฒ่าถึงได้พูดว่า การหล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งต้องแข่งด้านพละกำลังกับสวรรค์ ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานเหมือนร่างกายถูกขุนเขากดทับ แล้วก็ยังต้องแข่งขันด้านจิตใจกับตัวเองด้วย ใช้ไฟอ่อนค่อยๆ เคี่ยวตุ๋นจนเกิดคำว่ามั่นคง
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากปิดประตูระเบียงแล้วก็เริ่มเดินนิ่ง ฝีเท้าแผ่วเบา ออกหมัดว่องไว ปณิธานหมัดไหลเวียนวน
หลังจากนั้นก็เป็นวันเวลาที่น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติเช่นนี้ เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ยอมไปกินอาหารที่ห้องอาหารของเรือ เอาแต่กินอาหารแห้งกับดื่มเหล้าตลอดสามมื้อ
พอเข้าหน้าร้อน ต่อให้อากาศของเส้นทางใต้ดินจะค่อนข้างเย็นสบาย แต่เฉินผิงอันก็ยังเหงื่อแตกเต็มตัว เดินจากประตูห้องไปหยุดอยู่ตรงประตูไม้ของระเบียงก็เท่ากับฝึกหมัดครบหนึ่งรอบพอดี จากนั้นก็หมุนตัวกลับเดินซ้ำอีกรอบ นานวันเข้าพื้นห้องก็เต็มไปด้วยคราบเหงื่อ ทุกครั้งที่ฝึกวิชาหมัดจนเหน็ดเหนื่อยหมดแรงก็จะหยุดพักครู่สั้นๆ เมื่ออยู่ในห้องเล็กแคบแห่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องต่างๆ นานาที่อาจพบเจอเหมือนตอนเดินทางไกลก่อนหน้านี้ แค่สงบใจฝึกวิชาหมัดอย่างเดียวเป็นพอ สิบสองชั่วยามของหนึ่งวัน ไม่นับเวลานอนสองชั่วยามและการพักระหว่างฝึก เวลาที่เหลือล้วนเป็นการออกหมัดเก้าชั่วยามเต็มๆ ลืมตัวลืมตน ราวกับว่าฟ้าดินนี้มีเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านี้ ไม่มีภูเขาแม่น้ำใหญ่ ไม่มีลมภูเขาพัดโชยและพายุหิมะกรีดผิวเนื้อ ราวกับว่าสี่ฤดูกาลและการเกิดแก่เจ็บตายล้วนอยู่แค่ในพื้นที่แคบๆ แห่งนี้
ผ่านไปอีกยี่สิบวัน ประตูไม้ของระเบียงไม่เคยเปิดออกเลยสักครั้งเดียว
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันนอนหงายอยู่บนพื้น เสื้อผ้าเปียกโชก พื้นเปียกซึม หอบหายใจแฮ่กๆ เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกคนกระชากขึ้นฝั่ง
เฉินผิงอันแสยะปาก อยากยิ้มแต่กลับยิ้มไม่ออก หากเจ้าหอหม่ายตู๋ที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารมาลอบฆ่าตนในเวลานี้ จะทำอย่างไร?
เขาหลุบสายตาลงต่ำ มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้น คงต้องพึ่งบรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้แล้วกระมัง
สิบวันต่อมา เฉินผิงอันจำต้องปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวลง แม้แต่รองเท้าแตะก็ถอดออกด้วย ม้วนแขนเสื้อและขากางเกงขึ้น เปลือยเท้าฝึกหมัดเดินนิ่งอยู่ในห้อง
ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ที่เปลี่ยนจากหลอมเรือนกายไปหลอมลมปราณ ดูเหมือนว่าขาดอีกแค่เฮือกเดียวก็จะสามารถก้าวข้ามส่วนที่เหลือไปได้ ทว่าก้าวเดียวนั้นกลับเหมือนจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ให้ตายอย่างไรเฉินผิงอันก็ดึงมันขึ้นมาไม่ได้ ฝึกหมัดมาหนึ่งเดือนเต็ม การพัฒนาก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ได้แค่ดึงเท้านั้นออกมาจากโคลนเพียงเล็กน้อย
ระหว่างที่เขาฝึกหมัดก็ใช่ว่าฟ้าดินด้านนอกจะไม่มีความเคลื่อนไหวเสียเลย หลังจากที่ผู้โดยสารของสองห้องที่อยู่ขนาบข้างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตบนเรือแล้วก็ไม่สำรวมกิริยากันอีกต่อไป ห้องทางฝั่งซ้ายมือดูเหมือนจะเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพกันทั้งห้อง ทุกวันจะต้องกินเนื้อคำโตดื่มเหล้าคำใหญ่ พูดคุยเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เพียงแต่ว่าภาษาที่พูดคือภาษาทางการของแคว้นอื่นเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่จะหลุดภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปออกมาสองสามประโยค ทุกวันเมื่อเฉินผิงอันฝึกหมัดได้จนถึงขีดสูงสุดจะต้องหลุดออกมาจากขอบเขต ‘ลืมตน’ ที่ลี้ลับได้เอง และความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็จะเป็นเหมือนเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพอได้ยินคนพวกนั้นคุยกันเสียงดัง เฉินผิงอันจึงค่อนข้างรู้สึกหงุดหงิด
ส่วนพวคนที่พักอยู่ทางฝั่งขวามือคล้ายจะเป็นเซียนซือจากสำนักเล็กๆ ที่ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ จึงอยู่อย่างสงบเงียบ เพียงแต่ว่าทุกวันตอนเช้าและตอนเย็นจะต้องท่องตำราเสียงดังกังวาน กระดานไม้เก็บเสียงได้ไม่ดี อีกทั้งพวกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างยังใช้วิชากำหนดลมหายใจที่เป็นวิชาเฉพาะตัว ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจเช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!