ซุนเจียซู่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง ไม่ได้มีท่าทางเกียจคร้านใดๆ แต่กลับให้ความรู้สึกผ่อนคลายใจเย็นแก่คนมอง เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน รู้หรือไม่ว่าในอดีตข้ากลัวที่จะต้องทำงานแบบใดที่สุด?”
เฉินผิงอันไม่ใช่เทพเซียนที่เก่งด้านการคำนวณพยากรณ์ซะหน่อย แล้วก็ยิ่งไม่ใช่แมลงในท้องซุนเจียซู่ ย่อมเดาไม่ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ซุนเจียซู่คนนี้เป็นคนประหลาดมาก แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน แต่ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมอบให้เฉินผิงอันกลับกลายเป็นว่ายิ่งนานก็ยิ่งพร่าเลือน
ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ “การเก็บใบต้นหม่อน กว่าจะเก็บได้เต็มตะกร้าไม่ใช่ง่ายๆ ท่านปู่ข้ายื่นมือไปกดบนตะกร้าเบาๆ หนึ่งทีก็หายไปครึ่งตะกร้าแล้ว พอเก็บเต็มตะกร้า เขาก็ยื่นมือมากดอีก ข้าต้องเก็บไปอีกเป็นครึ่งๆ วัน มันทำให้คนสิ้นหวังได้เลย อีกทั้งทุกครั้งที่ขึ้นเขาจะต้องถูกต้นไม้ใบหญ้าบาดจนเป็นแผลเล็กๆ เต็มไปหมด พอแดดส่อง เหงื่อออกก็จะปวดแสบปวดร้อน สรุปคือดำนาปลูกข้าว ถูกปลิงดูดเลือดกัดยังสนุกเสียกว่า ท่านปู่ของข้าชอบสูบยา พอถูกความร้อน พวกมันก็จะร่วงลงมาเอง”
เฉินผิงอันเห็นด้วยอย่างมาก “ตอนที่ข้าอยู่บ้านเกิด ถ้าถูกปลิงกัดในน้ำจะลำบากมาก เพราะเสียดายเกลือกับน้ำส้ม ไม่อยากเอามาใช้ เสียเวลาแข่งความฉลาดความกล้าหาญอยู่กับพวกปลิงที่น่ารำคาญเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายเลือดไหลเป็นสายลงมาจากขา ยังดีที่ข้างเถียงนามีต้นหญ้าที่พวกเราคนท้องถิ่นเรียกว่า ‘ลวี่เหนียงเนียง’ ขึ้นอยู่ เอาหญ้ามาแปะลงบนบาดแผล เพียงไม่นานเลือดก็จะหยุดไหล พอข้าออกมาจากบ้านเกิดก็ไม่เคยได้เห็นอีก”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คนที่เกิดมาในครอบครัวยากจนไม่มีอะไรให้ต้องพิถีพิถันมากมาย แถมยังอดทนกับความยากลำบากได้เก่งกว่า นายน้อยที่มีเงินอย่างข้าย่อมเทียบไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้จะลำบากแค่ไหนก็สู้พวกเจ้าไม่ได้ ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านปู่ออกจากบ้านเดินทางไกล จะต้องร้องไห้งอแงว่าจะกลับบ้านทุกสามวันห้าวัน ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว หากวันหน้าข้าต้องพาหลานที่นิสัยเหมือนข้าไปไหนมาไหนด้วยกัน คงไม่มีความอดทนเท่าท่านปู่ข้าในตอนนั้น”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “หากมีวันนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะนิสัยดีมากขึ้นก็ได้”
ซุนเจียซู่ตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้จริงๆ”
คนหนึ่งคือชายที่ได้ครอบครองถนนใหญ่ทั้งสายของนครมังกรเฒ่า อีกคนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่เขาบอกว่านครมังกรเฒ่าหลุดจากมือไป พูดคุยเรื่องหยุมหยิมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้านๆ เหล่านี้ คนทั้งสองกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไม่ชวนกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
รถม้าขับเคลื่อนไปอย่างมั่นคง แม้ว่าจะมีควันสีม่วงลอยขึ้นมาจากกระถางธูปตลอดเวลา แต่ในห้องโดยสารกลับไม่มีควันธูปฟุ้งอบอวล แค่มีกลิ่นอายของความสดชื่นเหมือนต้นไม้ใบหญ้าและสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าต้องดูแลกิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ แล้วยังมารับข้าด้วยตัวเอง ต้องสูญเงินไปมากน้อยเท่าไหร่กัน? อันที่จริงเจ้าให้คนอื่นมารับข้าก็ได้”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “จะหาเงินอย่างไรคือเรื่องหนึ่ง ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่อง ต่อให้เป็นแค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวก็ต้องคิดให้ชัดเจน แต่ว่าพอมีเงินแล้วใช้เงินอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความเคยชินของแต่ละคนแล้ว อย่างเช่นข้าที่ตั้งใจทำงานหาเงินตลอดทั้งปีนั้น ทำไปเพื่ออะไร? ก็เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องขี้เหนียวกับสหายมากเกินไป ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่อีแปะเดียว”
เฉินผิงอันเข้าใจโดยพลัน “มีเหตุผลมาก!”
ใจเขาอยากจะเอาแผ่นไม้ไผ่ใบเล็กในวัตถุฟางชุ่นออกมาจดเหตุผลข้อนี้ของซุนเจียซู่โดยเร็วเสียด้วยซ้ำ
รอจนตนมีเงินแล้วจริงๆ หากมีคนบอกว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุอีกก็จะเอาประโยคนี้ของซุนเจียซู่โต้กลับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!