กินข้าวเสร็จแล้วคนทั้งสองก็มาเดินเล่นกันที่ริมแม่น้ำด้านนอก เฉินผิงอันถามว่า “คุณชายซุน รู้จักร้านยาแห่งหนึ่งในนครมังกรเฒ่าที่ชื่อว่าร้านฮุยเฉินหรือไม่?”
ซุนเจียซู่ครุ่นคิด “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยิน แต่ข้าสามารถหาให้เจ้าได้โดยใช้เวลาไม่นาน”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
ซุนเจียซู่ยิ้มพลางโบกมือเป็นการบอกเฉินผิงอันว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ เขาก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินที่แบนราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง โยนออกไปด้านข้าง ก้อนหินปลิวเด้งกระแทกผิวน้ำไปจนถึงฝั่งตรงข้าม
ฝั่งตรงข้ามคือสวนดอกน้ำมันที่แผ่ยาวออกไป มองไปจึงเห็นเป็นเพียงสีเหลืองอร่าม
เฉินผิงอันเอาห่อสัมภาระวางเก็บไว้ในห้องแล้วก็หยิบเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอวอีกครั้ง แน่นอนว่ายังคงสะพายกล่องกระบี่ด้วย เขาปลดน้ำเต้า ‘เจียงหู’ ลงมาเพื่อดื่มเหล้า น้ำในแม่น้ำไหลรินอย่างเชื่องช้า คล้ายผู้เฒ่าคนหนึ่งที่เงียบสงบ
ซุนเจียซู่หยุดเดินแล้วพูดว่า “ข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว ช่วงนี้เรือที่ไปยังภูเขาห้อยหัวเหลืออยู่สามลำ สามลำที่เหลือยังไม่กลับมา ลำหนึ่งคือเต่าทะเลภูเขาของสกุลซุนเรา นอกจากนี้ก็คือปลาวาฬกลืนสมบัติของตระกูลฝู รวมไปถึงนกกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่าน หากให้พูดถึงในมุมของความมั่นคงปลอดภัย ข้าแนะนำให้เจ้าโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เพราะสิบปีที่ผ่านมานี้ เส้นทางการเดินเรือไปยังภูเขาห้อยหัวมีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมาก เต่าทะเลภูเขาสู้ปลาวาฬกลืนสมบัติไม่ได้ หรือถึงขั้นสู้นกกุ้ยฮวาที่ถูกสร้างขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เต่าทะเลภูเขาจะนิสัยดีแค่ไหนก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ เรื่องที่เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมาตรงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็คือตัวอย่าง ส่วนปลาวาฬกลืนสมบัติสามารถว่ายในทะเลลึกได้ จึงปลอดภัยที่สุด อีกทั้งเส้นทางเดินเรือสายนั้นยังเป็นเส้นทางคุ้นเคยที่ตระกูลฝูบุกเบิกมาหลายปี ควรจะหลีกเลี่ยงพวกมารใหญ่ที่อยู่ในน้ำอย่างไร พวกเขาย่อมรู้ชัดเจนดี หากคิดจะประหยัดเงินและต้องการความสบาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเต่าทะเลภูเขาของตระกูลข้า เมื่อเจ้าขึ้นไปอยู่บนเรือ ไม่กล้าพูดว่าสามารถเสวยสุขได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าก็ไม่ต้องคอยกลัดกลุ้ม…”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดประโยคหนึ่งออกมาว่า “หากไม่ใช่เต่าทะเลภูเขาก็ต้องเป็นนกกุ้ยฮวา ข้าไม่มีทางโดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติเด็ดขาด”
ซุนเจียซู่แปลกใจอย่างมากจึงถามว่า “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิด ข้าเคยเกือบจะฆ่าฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่า ไหนเลยจะกล้านั่งเรือข้ามฟากของตระกูลเขา”
ซุนเจียซู่อดยื่นมือมาตบไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ ไม่ได้ “เฉินผิงอัน! ข้าเคยเห็นวีรบุรุษมาไม่น้อย แต่คนที่ใจกล้าแบบเจ้ากลับพบเจอมาไม่มากจริงๆ!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงของซุนเจียซู่ก็รู้แล้วว่าฝูหนันหัวต้องไม่ใช่คนที่ควรไปมีเรื่องด้วยจริงๆ
ซุนเจียซู่อดกลั้นอยู่นานสุดท้ายก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “แม้ว่านายน้อยของนครมังกรเฒ่าจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ลูกหลานของครอบครัวอื่นในตระกูลฝูที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดเสื้อคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นก็มีอยู่หลายคน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าฝูหนันหัวได้รับความสำคัญจากเจ้านครฝูฉีมากที่สุด บรรพบุรุษตระกูลฝูคนหนึ่งที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนก็ยิ่งเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาให้แก่ฝูหนันหัว เพียงแต่ว่าช่วงหลายปีมานี้เขาปิดด่าน เล่าลือกันว่ากำลังพยายามฝ่าสู่ห้าขอบเขตบน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฝูหนันหัวจะกลายเป็นเจ้านครคนถัดไป เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้แพร่ออกไป รับรองว่าชื่อเสียงของเจ้าต้องดังไปครึ่งทวีปภายในเวลาหนึ่งเดือนแน่นอน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ชื่อเสียงแบบนี้ ไม่เอาดีกว่ามั้ง”
ซุนเจียซู่ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งอารมณ์ดี “ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพบค้าสมาคมกับฝูหนันหัวมาหลายครั้ง หรือถึงขั้นที่ว่าความสัมพันธ์เกินกว่าจะเป็นสหายที่ร่วมดื่มเหล้าธรรมดาทั่วไป แต่ฝูหนันหัวยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับหลิวป้าเฉียวได้ วันนี้ได้ยินความจริงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งอยากหัวเราะ ดูท่าข้าคงไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่นัก ดังนั้นเจ้าเฉินผิงอันก็ยั้งๆ ไว้หน่อย เป็นเพื่อนกับคนแบบข้า อย่าเพิ่งมอบใจให้มากเกินไปนัก ต้องรู้จักกันให้นานก่อน”
ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันหลุดประโยคหนึ่งมา “อันที่จริงข้ากับหลิวป้าเฉียวก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ แค่เคยเจอหน้ากันสองครั้งเท่านั้น”
ซุนเจียซู่อัดอั้นตันใจเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นในจดหมายที่หลิวป้าเฉียวบอกว่าสนิทกับเจ้าเหมือนผ่านความเป็นความตายร่วมกันมาหลายร้อยรอบล่ะ หมายความว่าอย่างไร? ในจดหมายเขาชื่นชมเจ้าซะจนไม่มีผู้ใดทัดเทียมได้อีกแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าหากข้าไม่มารับรองเจ้าด้วยตัวเองจะตัดขาดกับข้า จากนั้นก็จะป่าวประกาศฉายาข้าไปให้ทั่วแจกันสมบัติทวีป”
เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “ฉายาคือซุนจื่อ” (ซุนจื่อแปลว่าหลาน)
ซุนเจียซู่ยื่นมือมากุมขมับ ยิ้มเจื่อนพูดว่า “เรื่องนี้เจ้าก็เดาได้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “แม้ว่าจะเคยเจอกันแค่สองครั้ง แต่ข้ากลับรู้นิสัยของหลิวป้าเฉียวดีว่าเป็นคนไม่จริงจังมากที่สุด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!