เด็กชายกลอกตา รู้สึกว่าคำถามข้อนี้ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก จึงตอบเสียงขุ่น “ข้ายังขาดสุดยอดตำราลับอีกเล่มหนึ่ง”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม พยักหน้ารับ “ข้าก็เหมือนกัน”
เด็กชายก้มหน้าลงมองกระบี่ไม้ไผ่ในมือ แล้วค่อยเงยหน้ามองด้ามกระบี่ในกล่องด้านหลังคนผู้นี้ ถามว่า “ขอข้าดูกระบี่ของเจ้าหน่อยได้ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก”
เด็กชายเบ้ปาก ปรายตามองน้ำเต้าสีชาดตรงเอวของเฉินผิงอัน “เจ้าขี้เหนียวแบบนี้ ไม่เหมือนมือกระบี่ที่ท่องอยู่ในยุทธภพเลย ข้าว่าที่บรรจุไว้ในน้ำเต้าของเจ้าคงไม่ใช่เหล้า แต่เป็นน้ำ แกล้งทำเป็นหลอกคนอื่นไปอย่างนั้นกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยเห็นมือกระบี่ตัวจริงหรือไม่?”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง
ด้านหลังมีแม่นางน้อยใบหน้าแดงปลั่งพูดขึ้นอย่างขลาดๆ ว่า “พวกเราเคยไปไกลที่สุดก็แค่ตลาดที่อยู่ห่างไปหลายสิบลี้ ไม่เคยได้เห็นมือกระบี่ซะหน่อย”
เพียงไม่นานก็มีเด็กที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามว่า “อาจารย์ที่โรงเรียนเคยสอนพวกเราเกี่ยวกับมือกระบี่ ที่ตลาดก็มีหนังสือรูปคนตัวเล็ก (หนังสือการ์ตูน) ที่ราคาแพงมากวางขาย บนหนังสือวาดจอมยุทธ์ใหญ่ในยุทธภพไว้เป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือมือกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด คนชั่วทุกคนล้วนเอาชนะพวกเขาไม่ได้”
เด็กชายที่บอกว่าเคยเห็นมือกระบี่ที่แท้จริงมาก่อนหันไปถลึงตาใส่ด้านหลังหนึ่งที เด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังหุบปากฉับทันที
เด็กชายที่ค่อนข้างโตซึ่งถือกระบี่ไม้อีกคนหนึ่ง ท่าทางซื่อๆ น่ารักถามเฉินผิงอันว่า “เวทกระบี่ของเจ้าร้ายกาจแค่ไหน?”
คำถามข้อนี้ทำให้เฉินผิงอันลำบากใจจริงๆ
เฉินผิงอันได้แต่พูดว่า “ข้าเคยเห็นมือกระบี่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากกับตาตัวเองมาก่อน ไม่ใช่เห็นจากในหนังสือรูปคนตัวเล็กของพวกเจ้า”
เด็กชายกระบี่ไม้ไผ่หัวเราะหยันไม่หยุด
เด็กชายท่าทางซื่อตรงที่ถือกระบี่ไม้กลับเชื่อไปแล้วถึงเจ็ดแปดส่วน ซักถามต่ออีกว่า “แล้วเจ้าได้เรียนเวทกระบี่มาจากจอมยุทธ์ใหญ่พวกนั้นหรือไม่? หากเจ้าสามารถแสดงวิชากระบี่ให้พวกเราได้เห็น ข้าก็จะเชื่อว่าเจ้าคือมือกระบี่จริงๆ หากเป็นไปได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็รับข้าเป็นลูกศิษย์ได้ไหม? ข้าอยากเรียนเวทกระบี่กับเจ้า ไม่ใช่แค่ฟันดอกน้ำมันได้อย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าฟันกระบี่ลงไปก็สามารถทำให้สะพานของหมู่บ้านเราขาดท่อน ข้าก็จะกราบเจ้าเป็นอาจารย์ขอเรียนวิชาจากเจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
ด้วยวิชากระบี่ของตนเนี่ยนะ คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชาจากเขา?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าพื้นที่ร้อยลี้รอบรัศมีของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแห่งนี้คือดินแดนสวรรค์ในอุดมคติที่มีชื่อเสียงของนครมังกรเฒ่า แม้ว่าชาวบ้านที่อยู่ที่นี่มาหลายยุคหลายสมัยจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ก็มียอดฝีมือหลายคนคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างลับๆ ช่วยจับตามองฮวงจุ้ยของของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ไม่ให้ถูกคนนอกทำลาย เพียงแต่ว่าบนภูเขาและล่างภูเขามองดูเหมือนต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสถานการณ์ที่เทพเซียนอยู่ตรงหน้า แต่คนไม่รู้ก็เท่านั้น นอกจากผู้เฒ่าสองท่านของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนแล้ว ยังมีคนตัดต้นไม้อีกคนหนึ่งที่ไปสร้างกระท่อมอยู่อย่างสันโดษบนภูเขา รวมไปถึงผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งที่แตกกิ่งก้านสาขามีลูกหลานเต็มบ้านอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แท้จริง สามคนคือขอบเขตโอสถทอง อีกคนคือขอบเขตก่อกำเนิด มีทั้งบรรพบุรุษสกุลซุนสาขาแยกที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก แล้วก็มีทั้งยอดฝีมือที่หนีภัยมาเร้นกายอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าก็มีคนที่ถูกตระกูลซุนจ้างมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล หวั่นไหวเพราะทรัพย์สิน เทพเซียนเองก็เลี่ยงเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเงินที่รับมาแต่ละปีก็ล้วนเป็นเงินฝนธัญพืช (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญพืชที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19 20 หรือ 21 เมษายน)
เวลานี้ผู้ฝึกลมปราณใหญ่ทั้งสี่ท่านมารวมตัวกันอยู่หน้ากระท่อมของคนตัดต้นไม้ เพราะว่าที่นี่เป็นหนึ่งในตาของค่ายกล คนตัดต้นไม้ที่ลักษณะเหมือนชายฉกรรจ์แข็งแรงจึงโบกมือหนึ่งครั้ง ลมภูเขาและไอน้ำลอยตัวมารวมกันเป็นม้วนภาพวาดภาพหนึ่ง สายตาของทุกคนมองตามไปที่เงาร่างของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดเลียบริมน้ำตลอดเวลา คนทั้งสี่เริ่มวางเดิมพันเกี่ยวกับขอบเขตของคนผู้นี้ มีคนบอกว่าในเมื่อเป็นเพื่อนของซุนเจียซู่ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นคนหนึ่ง ปณิธานหมัดที่แผ่อวลตลอดทั้งร่างเป็นเพียงแค่การปิดบัง ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่อายุยังน้อย มีคนค้าน บอกว่าไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นห้าขอบเขตกลาง ส่วนที่เหลืออีกสองคนกำลังเถียงกันว่าเด็กหนุ่มคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่หรือขอบเขตห้ากันแน่ คนหนึ่งในนั้นบอกว่าเด็กหนุ่มคือขอบเขตสี่ที่สร้างรากฐานไว้ได้ดีเยี่ยม ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าธรรมดาทั่วไป นอกจากที่เด็กหนุ่มจะมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องมียอดฝีมือคอยให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่เด็ก คือลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่บอบบาง และไม่แน่ว่าอาจจะถือกำเนิดในตระกูลที่คงอยู่มานานนับพันปี ร่ำรวยจนตั้งตัวเป็นศัตรูกับแคว้นได้เลย
แม้ว่าเทพเซียนทั้งสี่จะถกเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง แต่กลับดูอารมณ์ดีกันไม่น้อย
……
ร้านยาขนาดเล็กของเมืองใน ชายฉกรรจ์ที่ไม่เอาไหนคนนั้นยกม้านั่งออกมานั่งในตรอกอีกครั้ง เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่ได้พกเมล็ดแตงมานั่งแทะ แต่เอาหนังสือเบ็ดเตล็ดเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนในร้านซื้อมา ในหนังสือเขียนเรื่องราวลวงโลกไว้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวและคำสอนของอริยะลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ เขียนหลักการยิ่งใหญ่ที่เกินจริงดั่งสองเท้าลอยเหนือพื้นดินหนึ่งแสนแปดพันลี้ ในอดีตชายฉกรรจ์เคยอ่านหนังสือพวกนี้ซะที่ไหน เพียงแต่ว่านั่งอยู่ในตรอกมานานขนาดนี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะเสวนากับเขาสักที ทำให้ชายฉกรรจ์รู้สึกว่าบางทีอาจเป็นเพราะบนร่างของตนไม่มีกลิ่นอายของตำรา หยิบหนังสือมาพลิกอ่านดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้
ในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด เสื้อผ้าที่พวกสตรีสวมใส่จะบางมากกว่าปกติ ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เล็ก แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือ แต่อันที่จริงหางตาคอยแอบชำเลืองมองหุ่นและหน้าตาของพวกผู้หญิงอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม็ดเหงื่อที่เกาะแนบผิวหนัง เห็นผู้หญิงโตเต็มวัยคนหนึ่งที่มีรูปร่างเย้ายวน ชายฉกรรจ์มองนางแล้วเหมือนวิญญาณถูกล่อลวงไป พึมพำอยู่ในใจตัวเองว่าสะโพกกว้างกว่าไหล่ น่าจะสร้างความสำราญได้ดั่งเป็นเทพเซียน
น่าเสียดายก็แต่ชายฉกรรจ์ค้นพบว่าตนหยิบตำรามาวางท่าเป็นคนมีความรู้แล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากจะมองเขาสักครั้ง
เว้นจากผู้หญิงบางคนที่มาอีกแล้ว เอวอย่างกับถังน้ำ ใบหน้ามีแต่กระ กรามใหญ่กว่าก้นของชายฉกรรจ์ซะอีก ชายฉกรรจ์หน้ามุ่ย ในที่สุดก็เริ่มอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ หญิงสาวที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากร้านยาเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เอวไม่ใช่บิดส่าย แต่เป็นแกว่งไกว ชายฉกรรจ์ก็ยังแสร้งทำเหมือนคนตาบอดอยู่อย่างนั้น ภายหลังหญิงสาวทนกับอากาศที่ร้อนระอุไม่ไหวจริงๆ มองชายที่ตนชอบพอด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วกลับบ้านไปด้วยความพึงพอใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!