สรุปตอน บทที่ 254.4 – จากเรื่อง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
ตอน บทที่ 254.4 ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
เด็กสาวอีกคนหนึ่งที่หน้าตางดงามคางแหลมเล็กนั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดยไม่ลังเล ฝ่ายหลังถึงกับกลอกตามองบนโดยตรง ในใจคิดว่าเจ้าที่เป็นผู้หญิงยังหน้าตางดงามได้ไม่เท่าข้า กลับยังจะกล้าคิดมาแต่งงานพลิกผ้าห่มกับข้าอีกหรือ?
หลังจากถามพี่สาวหน้ากลมถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วการฝึกประสบการณ์ของบุรุษอายุยี่สิบได้สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องกลับไปที่สถานศึกษาลัทธิขงจื๊อทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ถึงเวลานั้นจะได้เปลี่ยนจากนักปราชญ์เป็นวิญญูชน
เขาปลดกระบี่ ‘ฮ่าวหรันชี่’ (ปราณแห่งความเที่ยงธรรม) วางลงบนโต๊ะ บอกว่านี่คือกระบี่ที่อาเหลียงมอบให้แก่ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ได้มอบให้เขา ดังนั้นต้องคืนให้
เด็กหนุ่มตัวอ้วนยิ้มแก้มปริ เขาปรารถนาในกระบี่เล่มนี้ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ดังนั้นจึงรีบพยักหน้ารับ พร้อมพูดทันทีว่าบุรุษแห่งสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อมีคุณธรรม เข้าใจกฎระเบียบเป็นอย่างดี วันหน้าขอยินดีต้อนรับ และเขาจะต้องประคองสองมือสองเท้าให้การรับรองเป็นอย่างดีแน่นอน
เด็กสาวแขนเดียวสีหน้าเฉยชาเปิดปากพูดอย่างไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก บอกว่าศึกแห่งความเป็นความตายสองครั้ง เขาสังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปได้มากมาย สามารถเอาฮ่าวหรันชี่ไปได้
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่สนใจเรื่องนี้ เขาเหลียวซ้ายแลขวา ดูว่าบนทางมีคนที่เขารู้จักคุ้นเคยพอจะช่วยจ่ายค่าอาหารให้ได้หรือไม่
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์เอาแต่ดื่มเหล้าเงียบๆ ผู้หญิงหน้ากลมคือพี่สาวของเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาดื่มน้อยๆ หน่อย เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สีหน้าของหญิงสาวจึงค่อนข้างจะระอาใจ
เด็กสาวท่าทางองอาจให้ข้อสรุปด้วยคำเดียวว่า “เอาไป”
คนอื่นๆ จึงไม่มีความเห็นต่างอีกต่อไป
ต่อให้คนทั้งโต๊ะกำลังจะมีคนได้เป็นวิญญูชนของสถานศึกษา และยิ่งมีคนแซ่ต่ง แซ่เฉิน
หากมีแซ่ฉีอีกคน
ถ้าเช่นนั้นก็จะมีครบทั้งสามแซ่สกุลของกำแพงเมืองปราณกระบี่
จู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็ขมวดคิ้ว พึมพำว่า “ทำไมไม่ว่าจะไปทางไหนก็ต้องเจอขี้หมาเละๆ ด้วย”
บนถนนมีคนกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี แต่ละคนเปี่ยมล้นไปด้วยปณิธานกระบี่ พลังสังหารล้นเหลือ
บังเอิญมาก คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มแซ่ฉีพอดี ด้านหลังของเขาแบกกระบี่คู่ เรือนกายสูงใหญ่ พลังอำนาจเฉียบคมน่าครั่นคร้าม
เขาเป็นคนเดินนำออกจากกลุ่มมาหยุดอยู่ข้างร้านเหล้าก่อน สายตาจ้องเป๋งไปที่หญิงสาวท่วงท่าองอาจผู้นั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มน้ำเสียงอ่อนโยน พยายามไม่ให้ตัวเองแสดงออกว่าบีบบังคับผู้อื่นจนเกินไป “หนิงเหยา แท่นสังหารมังกรก้อนนั้นของเจ้า จะขายหรือไม่? ราคาสามารถตกลงกันได้ ข้าไม่มีทางเอาเปรียบเจ้าแน่นอน อีกอย่างพ่อแม่ข้ากับพ่อแม่เจ้าสนิทกันถึงเพียงไหน เจ้ารู้ดียิ่งกว่าใคร หากไม่เป็นเพราะท่านปู่ข้าขัดขวางไว้ ปีนั้นพวกเราคงได้หมั้นหมายกันตั้งแต่เด็กแล้ว ถูกไหม?”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่แม้แต่จะเงยหน้า “ไสหัวไป”
บุรุษแซ่ฉีเองก็ไม่ขุ่นเคือง เขาลูบคลำปลายคางแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างปุบปับฉับไว
คนในกลุ่มบางคนไม่พอใจ จึงเอ่ยด้วยคำพูดแปร่งหูเสียงไม่ดังนัก “คนบางคนโชคดี พ่อแม่ต่างก็เป็นเซียนกระบี่ใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ ร้ายกาจจนเกือบจะทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราพ่ายแพ้ จุ๊ๆๆ”
เด็กสาวท่าทางองอาจไม่สะทกสะท้าน
แต่ทุกคนที่นั่งรอบโต๊ะพากันลุกพรวดขึ้นยืน ต่อให้เป็นวิญญูชนสถานศึกษาที่มาฝึกประสบการณ์ที่นี่ก็ยังกำด้ามกระบี่ฮ่าวหรันชี่เล่มนั้น
เด็กหนุ่มร่างอ้วนแสยะปากเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด “โอ๊ะโอ เมื่อครู่นี้พูดว่าอะไรนะ นายท่านใหญ่ได้ยินไม่ชัด ลองพูดอีกทีสิ?”
ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับสบถด่าโดยตรง “ไอ้ลูกหมา บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้ามันสวะ!”
เขาชำเลืองตามองไปทางเด็กหนุ่มหน้าดำเกรียม “ว่าไง? ใครเปิดก่อน?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ตรงไปตรงมาที่สุด เขาสะบัดไหล่หลุดจากการดึงรั้งของพี่สาว ถือกระบี่บุกขึ้นหน้า
เด็กหนุ่มแซ่ฉียื่นแขนออกมาข้างหนึ่งห้ามไม่ให้ทุกคนที่อยู่ข้างหลังพูดอะไร จากนั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว ถามยิ้มๆ ว่า “ต่งถ่านดำ เจ้าจะต่อยตีกันจริงๆ หรือ?”
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์สีหน้าไร้อารมณ์ เพียงเดินไปข้างหน้า มือทั้งสองข้างกดลงไปบนด้ามกระบี่ซ้ายขวาสองด้าน หนึ่งเล่มคือจิงซู (คัมภีร์) หนึ่งเล่มคืออวิ๋นเหวิน (ลายเมฆ) ล้วนเป็นกระบี่ที่อาเหลียงเอามาจากสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปแล้วเอามาโยนทิ้งไว้ที่นี่
อาเหลียงจากไปแล้ว พี่หญิงหนิงที่ช่วยชีวิตตนมาสามครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางล้วนไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นหากเขาต่งฮว่าฝูไม่ทำอะไรเลยในเวลาอย่างนี้ ก็ไม่สมควรแซ่ต่งแล้ว
ผู้หญิงหน้ากลมยิ้มบางๆ “แค่ไม่ฆ่าคนก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ ข้าจะช่วยเจ้าพูดกับทางท่านปู่ให้เอง”
ประโยคนี้หลุดมา แม้แต่เด็กหนุ่มแซ่ฉีก็ยังรู้สึกว่ายุ่งยาก
จู่ๆ เสียงนิ้วที่เคาะกับผิวโต๊ะก็ดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่ผิวเข้มเหมือนถ่านดำหันกลับไปมอง
หนิงเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ถ่านดำ กลับมาดื่มเหล้า”
เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิมอย่างอัดอั้น หญิงสาวหน้ากลมลูบศีรษะของเขา เด็กหนุ่มที่เดิมทีก็หงุดหงิดอยู่แล้วหันมาถลึงตาใส่ทันที พี่สาวของเขาทำหน้าทะเล้นกลับ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาดีมองตาไม่กะพริบ
ทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ลงไม้ลงมือกัน
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแซ่ฉีพาสหายเดินจากไป หลังจากเดินห่างไปไกลมากแล้ว ถึงได้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่พูดท้าทายคนอื่นเมื่อครู่ว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน หรือไม่ก็ไปพักอยู่ที่บ้านข้าเลย”
คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งทีอย่างไม่ลังเล แต่ในใจก็ให้กระวนกระวายไม่เป็นสุข
หลังจากที่ทุกคนกลับมานั่งที่แล้ว หนิงเหยาก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง “พวกเจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่อีก อีกอย่างเรื่องในครอบครัวข้า พวกเจ้าที่เป็นคนนอกมายุ่งอะไรด้วย ตัวข้าแค่จำไว้เองก็พอแล้ว”
คนทั้งโต๊ะเงียบงันไร้คำพูดตอบโต้
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกระตุกมุมปาก หัวเราะหยันพูดว่า “ได้ยินว่าเจ้าหมอนั่นถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ (บุคคลที่อยู่อันดับสองของลัทธิเต๋า ในที่นี้หมายถึงลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า) ต่อยกลับลงมาในใต้หล้าไพศาลด้วยหมัดเดียว”
เมื่อหนิงเหยาพูดถึงคนผู้นี้ แทบทุกคนต่างก็คลี่ยิ้ม แน่นอนว่ารอยยิ้มของวิญญูชนสถานศึกษาผู้นั้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อน
เด็กหนุ่มตัวอ้วนเหม่อลอย ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องที่ดีใจหรือเสียใจถึงได้กระดกเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่
หลังจากที่เขาขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อสังหารศัตรูเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเด็กหนุ่มมองชายฉกรรจ์ที่แต่งตัวปอนๆ ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง เอ่ยถามว่า “อาเหลียงๆ กระบี่เมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? มีมาดของท่านได้สักครึ่งหนึ่งหรือเปล่า?”
ชายฉกรรจ์แค่ดื่มเหล้า แล้วตอบรับอย่างขอไปทีว่า อ้อๆๆ อืมๆๆ
“อาเหลียง! เจ้าพูดอะไรสักคำสิ จะดีหรือเลวก็ได้หมด!”
จู่ๆ ถ่านดำน้อยก็โหวกเหวกขึ้นมาว่า “อาเหลียง ข้าปวดอึ! ข้าจะไปอึทางทิศใต้ เร็วหน่อย อึจะราดแล้ว!”
บุรุษรีบกระโดดลงจากกำแพง สบถด่าพลางอุ้มเจ้าตะพาบน้อยขึ้นมา แล้วพุ่งตัวมุ่งไปทางทิศใต้ดั่งสายรุ้ง
ส่วนข้อที่ว่าทางทิศใต้มีอันตราย มีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่หรือไม่ บุรุษไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
เด็กสาวเองก็ไม่สนใจ เพราะเขาคืออาเหลียง
ในใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีที่ใดที่กระบี่ของอาเหลียงฟาดฟันไปไม่ถึง
ต่อให้ท่านปู่ของนางจะไม่ชอบบุรุษผู้นี้มากแค่ไหนก็ไม่เคยพูดว่าวิชากระบี่ของอาเหลียงไม่สูงมากพอ
ผลคือเจ้าลูกหมาทนไม่ไหว อึราดรดเต็มกางเกง บุรุษที่นั่งซักกางเกงอยู่ข้างบ่อน้ำสะอาดมองเจ้าตะพาบตัวนั้นที่เปลือยก้นวิ่งเล่นไปทั่วพลางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ไปด้วย “ปีนั้นข้าก็แค่ปฏิเสธแม่เจ้าไปเจ็ดแปดรอบเท่านั้น วันนี้กลับต้องมาเจอกรรมตามสนอง เจ้าเหมือนพ่อยิ่งกว่าพ่อแท้ๆ ของข้าเสียอีก…”
สุดท้ายบุรุษจากไป บุรุษที่ไม่มีกระบี่สลักอักษรคำว่าเหมิ่ง (ห้าวหาญ กร้าวแกร่ง) ทิ้งไว้ สวมงอบไม้ไผ่แล้วไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
วันนั้นในนครด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่รู้ว่าสตรีน้อยใหญ่กี่คนที่ร่ำสุรา บุรุษของพวกนางก็ยิ่งดื่มเหล้าด้วยความกลัดกลุ้ม
หลังจากนั้นชายฉกรรจ์ที่พกดาบไม้ไผ่เล่มหนึ่งก็เจอตัวเด็กหนุ่มที่ฉีจิ้งชุนเลือกไว้ บอกกับเขาว่า ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
พอสนิทสนมคุ้นเคยกันแล้ว บุรุษบอกกับเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงของใต้หล้าไพศาลคนนั้นยิ้มๆ ว่า เจ้ารู้หรือไม่ สตรีใต้หล้าที่ชื่นชอบข้าอาเหลียงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
เด็กหนุ่มคิดแค่ว่าเขาโอ้อวดตน
……
ดื่มเหล้าหมดโต๊ะ สหายแยกย้ายกันไป
หนิงเหยาเดินกลับบ้านเพียงลำพัง
ตลอดทางมีคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ใส่นางมากมาย
มีทั้งสงสาร มีทั้งเย้ยหยัน มีทั้งถอนหายใจ มีทั้งเลื่อมใส
หนิงเหยากลับมาถึงบ้าน ยังคงเป็นหนึ่งในจวนที่ใหญ่ที่สุดของนคร ยังคงมีผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นคนในตระกูลอยู่มากมาย แต่กลับขาดคนบางคนไป
นางเดินไปยังลานประลองกระบี่ จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนแท่นสังหารมังกรที่ใหญ่ดุจกระท่อม หรี่ตางีบหลับ
ในจดหมายบอกว่ามีคนโง่คนหนึ่งจะเอากระบี่มาส่งให้นาง ทำไมยังมาไม่ถึงสักทีนะ?
เด็กสาวเริ่มโมโหนิดๆ แล้ว
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!