น้ำเสียงเย็นชาของเทพหยินดังออกมาจากในเงามืดมุมกำแพง “น่าจะใช่”
เจิ้งต้าเฟิงเหน็บหนังสือไว้ใต้รักแร้ หิ้วม้านั่งและเมล็ดแตงมาที่หน้าปากตรอก นั่งลงใต้ร่มไม้คอยมองสาวงามอีกครั้ง
บุรุษสูงใหญ่ท่าทางมีบารมีซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเดินมาอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขามีหญิงสาวเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตามมาด้วย
บุรุษเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้นอีกที สำหรับเถ้าแก่ร้านยาที่นั่งอยู่บนม้านั่งใช้หนังสือแทนพัดผู้นั้น นางเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจใคร่รู้
บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกียรติของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่ามีค่าแค่ใบหน้าปลอมที่ใช้ปิดบังอำพรางชิ้นเดียวเท่านั้น เถ้าแก่เจิ้งมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามาชำเลืองมองบุรุษ “ฝูฉี เจ้าไม่ได้ใส่ชุดคลุมมังกรเฒ่ามา ดูท่าคงไม่ได้มาออกคำสั่งไล่แขก”
บุรุษยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ด้านหลังตัวเอง “ข้าจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าล้วนไม่สำคัญ พานางมาด้วยต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างแท้จริง”
ทั้งแสดงอำนาจบารมี ทั้งแสดงถึงการยอมอ่อนข้อให้
แสดงอำนาจด้วยการบอกว่า เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าฝูฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองก็สามารถขับไล่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงไปได้แล้ว
ส่วนที่บอกว่าแสดงถึงการยอมอ่อนข้อก็คือ ฝูฉีที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่าก็ยังเต็มใจแสดงไมตรีต่อบุรุษด้วยการนำสตรีที่ขายาวมากคนหนึ่งมาปรากฎตัวต่อหน้าเถ้าแก่ใหญ่เจิ้ง
เจิ้งต้าเฟิงจ้องขางดงามของหญิงสาวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหันหน้ากลับไปมองกระแสคนที่เดินสวนกันไปมา “ฝูฉีเจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่สูบทะเลเมฆเข้าท้องไปด้วยเลยเล่า?”
สีหน้าของฝูฉีไม่น่ามองนัก ต้องยื่นมือไปกุมหยกประดับที่ห้อยไว้ตรงเอว สีหน้าถึงจะผ่อนคลายลง
หญิงสาวตัวสั่นงันงก นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองที่ชัดเจนขนาดนี้ของบิดา
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน เจ้าคู่ควรจะมาเปรียบเทียบกับข้าด้วยหรือ?”
ฝูฉียิ้มรับ “ในเมื่อตอนนี้เถ้าแก่เจิ้งอารมณ์ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องบางเรื่อง ฝูฉีค่อยพูดภายหลังก็แล้วกัน”
ตอนนี้อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงแค่ไม่ดีเสียที่ใด ต้องเรียกว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดเลยต่างหาก
เงินห้าอีแปะ!
แค่เงินห้าอีแปะที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปล้วนเคยจับผ่านมือ แต่กลับเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ห้าลูกที่กดทับอยู่ในใจของเจิ้งต้าเฟิง! ทุ่มเทสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย รับมือด้วยความระมัดระวัง กว่าจะหลอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นรับปากด้วยตัวเองว่าจะไม่คิดบัญชีนี้ได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงหลังจากที่เด็กหนุ่มถามคำถามสามข้อนั้น รวมไปถึงพูดประโยคว่า ‘หยางเหล่าโถวไม่เคยติดค้างใคร’ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองแล้วว่า ไม่ต้องคาดหวังให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ทวงเงินห้าอีแปะที่ธรรมดาที่สุดจากตนอีกแล้ว เจ้าลูกหมาน้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้เจ้าเล่ห์จะตายไป คิดจะหลอกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย!
เจิ้งต้าเฟิงโมโหอย่างหนัก โบกตำราที่เอามาทำเป็นพัดแรงๆ “มิน่าเล่าข้าถึงไม่ชอบไอ้หมอนี่มาตั้งแต่แรก อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจและกลอุบายลึกล้ำนัก เหมือนเด็กหนุ่มเสียที่ไหน?”
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดบ่น แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทอดถอนใจ เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน เสียงหน้าหนังสือที่ถูกเปิดดังพั่บๆๆ แต่อ่านไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าวัตถุหยินตนนั้นพูดถูก ข้าทำตัวอวดฉลาดไปเองจริงๆ?”
เมื่อเปิดหนังสือไปอีกหนึ่งหน้าก็เป็นบท ‘ความจริงใจ’ พอดี ยังคงเป็นเรื่องเล่าตามหัวมุมถนนที่เอามาร้อยเรียงต่อกัน ผสมปนเปกันเป็นต้มจับฉ่าย ช่วงท้ายถึงแสร้งใส่หลักการยิ่งใหญ่เข้าไปสองสามประโยค ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด สำหรับคนที่มีความรู้ลึกล้ำแท้จริงอย่างเจิ้งต้าเฟิงแล้ว หากนำบทความมาแยกออกจากกันก็เหมือนสตรีผู้นี้มีคิ้วตางามเพริศพริ้ง สตรีผู้นั้นมีแก้มอมชมพูน่าหลงใหล สตรีอีกคนมีปากเล็กๆ สีลูกท้อ แต่ละคนต่างก็มีความงามในแบบของตัวเอง แต่หากเอามาประกอบเข้าด้วยกันส่งเดช จะไม่ใช่ความงาม แต่อาจกลับกลายมาเป็นความอัปลักษณ์ที่ทนมองไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงพลิกหนังสือไปอีกหน้าอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือช่วงสุดท้ายของบท ‘ความจริงใจ’ พอดี
ยังคงเป็นหลักการว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่จนไร้ขอบเขตสิ้นสุดเหมือนเดิม
“โบราณกล่าวไว้ว่าผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ มักจะมีความจริงใจจนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแข็งแยกร้าวได้ เป็นเหตุให้ความจริงใจคือรากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อ”
“และอริยะของลัทธิเต๋าก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่จริงใจก็ไม่เขย่าคลอนใจคน คนจริงซื่อสัตย์ จึงจะมีความจริงใจ นี่จึงเป็นที่มาของยศ ‘เจินเหริน’ (แปลตามตัวคือคนที่แท้จริง คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็แปลได้ว่าเต้าหยินที่บรรลุมรรคผล)”
เจิ้งต้าเฟิงพลิกเปิดไปยังบทถัดไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือบท ‘ความจงรักภักดีและกตัญญู’ แล้วก็เปิดหน้ากระดาษตั้งแต่ต้นจนจบอย่างว่องไวอีกครั้ง สุดท้ายตบหนังสือประกบปิดแล้วเอามาทำเป็นพัดพัดลมเย็นๆ เข้าหาตัวอีกครา
ดูเหมือนชายฉกรรจ์คนนี้จะเห็นคำสอนของอริยะในตำราเป็นดั่งลมที่พัดผ่านหูไปเสียหมด
สุดท้ายเขาพูดเหมือนยอมรับชะตากรรม “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะยังดึงดันไปอีกทำไม? อุตส่าห์รอมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้บอกว่าข้าหัวหมอคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ลำพังกับแค่หลี่เอ้อร์ก็ต่อยตีกันมากี่ครั้งแล้ว? ซ่งจ่างจิ้งต่อสู้กับศิษย์พี่แค่ครั้งเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้เลย อันที่จริงข้าเองก็เริ่มเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้องขอแล้วจะได้มา ข้าก็แค่แอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีเท่านั้น ฮ่าๆ ตอนนี้ได้เห็นสาวงามอยู่ในนครมังกรเฒ่าทุกวัน คงต้องรอตายอยู่ที่ขอบเขตแปดนี่แล้ว…”
เจิ้งต้าเฟิงหลับตาลง นาทีนี้สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ลอบมองทรวดทรงองค์เอวของสตรีค่อนข้างจะเซื่องซึม
หญิงสาวที่มีหุ่นซึ่งเรียกได้ว่า ‘บึกบึนแข็งแกร่ง’ บนใบหน้าทาผงประทินโฉม สวมชุดสีสันสดใสงดงาม กรามของนางใหญ่มากพอที่จะสยบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เมื่อนางหยุดเดินแล้วเห็นท่าทางเช่นนี้ของชายฉกรรจ์ก็ให้รู้สึกสงสาร ในใจคิดว่าเขาคงอยากจะบอกความในใจกับตน แต่คงไม่กล้า ถ้าอย่างนั้นตนจะไม่สำรวมกิริยาอย่างที่สตรีพึงกระทำอีกแล้ว นางควรจะเป็นคนเปิดปากก่อน ชายในดวงใจของนางจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ใจ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!