พ่อบ้านของทางฝั่งนั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลซุนไม่อยากให้จวนตระกูลซุนต้องเจอกับเรื่องลำบากใจ ผู้เฒ่าที่ไม่เคยปรากฏตัวในจวนตระกูลซุนเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีมาแล้วเดินทางไปสั่งงานพ่อบ้านของทางฝั่งนั้นด้วยตัวเอง คนทั้งจวนตระกูลซุนถึงจะพอสงบใจลงได้บ้าง
ซุนเจียซู่ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเรียบร้อยยืนอยู่ในศาลบรรพชนเพียงลำพัง หลังจากจุดธูปกราบไหว้ป้ายบรรพชนเสร็จก็ยืนเงียบๆ คล้ายกำลังหันหน้าเข้าผนังใช้ความคิดใคร่ครวญ
ในศาลบรรพชนนอกจากป้ายวิญญาณแล้ว ยังแขวนภาพเหมือนของอดีตประมุขตระกูลซุนแต่ละรุ่นในประวัติศาสตร์ที่ล่วงลับไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายไม่สะดุดตาเหมือนกับที่ซุนเจียซู่สวมอยู่ในเวลานี้ ตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูลซุนรุ่นนี้ถือเป็นการสืบทอดข้ามรุ่นโดยส่งต่อจากปู่มายังหลาน หลังจากที่ปู่ของซุนเจียซู่ลงจากตำแหน่งเจ้าประมุขก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ปีนั้นซุนเจียซู่สืบทอดกิจการยิ่งใหญ่ของตระกูลทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้จึงเรียกได้ว่าจะหวานหรือขม ซุนเจียซู่ก็ล้วนรับรู้มาด้วยตัวเองทั้งหมด
ซุนเจียซู่มองภาพวาดเหล่านั้น บางคนช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ในขณะที่ตระกูลตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม บางคนบุกเบิกเส้นทางการค้าสายใหม่ บางคนช่วยผูกมิตรสานสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนให้กับตระกูล บางคนว่างงานไม่มีอะไรทำชั่วชีวิต จนลูกหลานที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่มีหน้าไปพบผู้คน บางคนตัดสินใจผิดพลาดเดือดร้อนให้ตระกูลซุนต้องสูญเสียที่ดินในเมืองนอก กิจการของบรรพบุรุษถูกฮุบกลืนอย่างต่อเนื่อง บางคนเลือกเดินทางที่แตกต่าง มุมานะฝึกตนจนอำนาจของตระกูลตกไปอยู่ในมือของญาติวงนอก…
ซุนเจียซู่อยากรู้มากว่าในอนาคตเมื่อภาพของตนถูกแขวนไว้ที่นี่ ลูกหลานรุ่นหลังจะมองตนอย่างไร มองเขาเป็นบรรพบุรุษผู้นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล มองเขาเป็นตัวการที่ฝังต้นตอแห่งความพินาศให้กับตระกูล หรือมองเขาเป็นคนโง่ที่พลาดโอกาสอันดีซึ่งพันปีจะพานพบสักครั้ง?
ม่านราตรีสีมืดดำ บรรพบุรุษก่อกำเนิดคนนั้นเดินเข้ามาในศาลบรรพชนช้าๆ เงียบอยู่นาน สุดท้ายก็พูดปลอบใจขึ้นมาว่า “เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำเกินสามครั้ง เจ้าเลือกที่จะเชื่อเด็กหนุ่มคนนั้น เดิมพันเป็นครั้งที่สี่ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แพ้ในครั้งที่ห้าจึงไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดเสียใจ อันที่จริงการที่ผู้รับใช้ขอบเขตโอสถทองซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นยอมเดิมพันกับเจ้าเป็นครั้งที่สี่ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเลือกอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนต่ออยู่แล้ว หาใช่ถูกตระกูลฝูซื้อตัวไปได้สำเร็จไม่”
ซุนเจียซู่ไม่ได้หันกลับมา ยังคงเงยหน้าจ้องนิ่งไปยังภาพวาดทั้งหลาย แต่พยักหน้ารับ “ข้อนี้ข้าคิดได้แล้ว จึงไม่ได้กลายเป็นปมในใจ ตอนที่ลงเดิมพันกับเรื่องนี้ เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นดีกว่าเดิม แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแย่กว่าเดิม ข้ายอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ถอยไปพูดอีกหนึ่งก้าว ตระกูลซุนของเรายังไม่ถึงขั้นที่ว่าขาดว่าที่ขอบเขตก่อกำเนิดไปคนหนึ่งแล้วจะเป็นจะตายให้ได้”
บรรพบุรุษตระกูลซุนขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของซุนเจียซู่ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถถามได้ส่งเดช นี่ก็เหมือนกับผู้รับใช้ของตระกูลทั้งสามท่านที่ไม่ว่าจะสนิทสนมกับซุนเจียซู่มากแค่ไหน ต่อให้จะอยากรู้ขอบเขตและตบะของเด็กหนุ่มคนนั้นมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนเด็ดขาด ทำเพียงแค่คาดเดาให้เป็นเรื่องสนุกเท่านั้น
ซุนเจียซู่แบฝ่ามือข้างหนึ่ง “ความสัมพันธ์ของข้ากับเฉินผิงอัน ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการทำธุรกิจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นหลิวป้าเฉียวเป็นเพื่อน แต่เฉินผิงอันคนนี้ประหลาดมากเกินไป ข้าอดที่จะวางเดิมพันก้อนใหญ่บนร่างของเขาไม่ไหว ช่วยไม่ได้ ข้าซุนเจียซู่เป็นพ่อค้า เป็นประมุขของตระกูลซุน ที่แท้รู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”
ซุนเจียซู่หันตัวกลับมา ชูมือข้างนั้นขึ้น “จนกระทั่งเฉินผิงอันต่อยให้มังกรทองจากแสงอรุณกลับขึ้นฟ้าไปเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งตระกูลฝูหยุดอยู่เฉยรอจังหวะโจมตี ทำให้แผนการทั้งหมดของข้าว่างเปล่า กลับเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเสียเอง ข้าถึงได้รู้ว่าการเสี่ยงดวงเพื่อหวังลาภลอยนี้เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นเหตุให้ข้าต้องมองตัวเองสูญเสีย…นครมังกรเฒ่าทั้งแห่งไปคาตา”
ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ก่อกำเนิดที่คนในโลกขนานนามว่าเซียนพสุธาก็ยังมองไม่ออกถึงความผิดปกติบนมือข้างนั้นของชายหนุ่ม
แต่ผู้เฒ่าแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่า สิ่งที่ซุนเจียซู่มองเห็นคือความจริงในท้ายที่สุด
สีหน้าของซุนเจียซู่โศกเศร้า “หากขาดแค่เฉินผิงอันที่เดิมทีก็ไม่ใช่สหายไปคนหนึ่ง หรือสูญเสียนครมังกรเฒ่าแห่งหนึ่ง ถูกต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนมันลงคอไปพร้อมกับเลือด (เปรียบเปรยว่าต่อให้เสียเปรียบก็จะไม่ยอมให้คนอื่นมารับรู้ด้วย) อันที่จริงข้าซุนเจียซู่ก็ยังทนได้! เงินหมดไป ยังหามาได้ใหม่ ความสามารถในการหาเงิน ข้าซุนเจียซู่ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน!”
ผู้เฒ่าได้แต่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ
ซุนเจียซู่หุบฝ่ามือ กำเป็นหมัดแน่น พูดเสียงสั่น “แต่เมื่อผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ ข้าถึงได้ค้นพบว่าเดิมทีวิถีแห่งการหาเงินของตัวข้านั้นคือยืนหยัดเชื่อมั่นในความถูกต้องเที่ยงตรง เพราะนี่คือมหามรรคาของสำนักการค้าอย่างไม่ต้องสงสัย สอดคล้องกับคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่บอกว่าต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงจะยั่งยืนยาวนานมากที่สุด แต่ข้ากลับต้องมาถูกเฉินผิงอันที่รู้จักกันไม่ถึงหนึ่งเดือนพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ควรหาทรัพย์ด้วยวิธีลัด คำสั่งสอนที่บรรพบุรุษสำนักการค้าทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลังว่า ลาภจากความเสี่ยงเหมือนสายน้ำ มาเร็วก็ไปเร็ว รุ่งโรจน์ว่องไว แต่ก็ล่มสลายรวดเร็วดุจเดียวกัน คือความจริง!”
ซุนเจียซู่หันกลับไป ไม่ให้บุรพาจารย์เห็นใบหน้าของเขา
เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ราวกับว่าไม่อยากให้เหล่าบรรพบุรุษเห็นสีหน้าของเขาเช่นกัน
ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดเดินช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดจะทำอะไรไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”
ซุนเจียซู่วางสองมือไว้ที่ริมฝีปากแล้วเป่าลมใส่เบาๆ “อยู่ดีๆ ตระกูลฝูก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ล่วงเกินไปหมดทุกคนก็มีแต่ข้าซุนเจียซู่ ซ้ำร้ายตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจด้วยว่าเฉินผิงอันเห็นข้าเป็นคนอย่างไร แล้วตัวเขาเองล่ะเป็นคนอย่างไร นี่ต่างหากถึงจะเป็นปมของปัญหา”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “เฉินผิงอันคิดอย่างไรกับเจ้า บอกได้ยาก แต่นิสัยของเขา เจ้ายังไม่แน่ใจอีกหรือ?”
ซุนเจียซู่กล่าวอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นต่อให้หลังจบเรื่องเขาจะรู้ความจริง อะไรที่ตระกูลซุนได้รับ เขาเฉินผิงอันก็จะไม่น้อยหน้าสักส่วนเดียว สุดท้ายวันหน้าก็แค่กลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่กลับมาคบค้าสมาคมกันอีกก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พูดยากแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าเฉินผิงอันจะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อตัวเองหรือไม่”
ผู้เฒ่าตบไหล่ซุนเจียซู่ “เจียซู่ เจ้าฉลาดมาก แถมยังมีพรสวรรค์ เป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ต่อให้ตอนนี้จะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ข้าก็ยังคิดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะไม่ใช้สถานะของบรรพบุรุษออกคำสั่งแก่ประมุขตระกูล แต่จะพูดกับเจ้าดั่งที่ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำแก่ผู้น้อย โยนแผนการทั้งหลาย โยนเกียรติยศของวงศ์ตระกูล รวมไปถึงสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปทิ้งไป สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นซุนเจียซู่ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหลิวป้าเฉียว ส่วนเฉินผิงอันก็เป็นเพื่อนที่หลิวป้าเฉียวแนะนำให้เจ้า ไม่สู้เจ้าลองนำวิถีแห่งมิตรที่เรียบง่ายที่สุดไปใช้คบหากับเขาดู ตอนนี้ยังไม่ต้องพิจารณาถึงวงศ์ตระกูลอะไรทั้งนั้น”
ซุนเจียซู่หันมาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ได้ด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ไม่ลองดูก่อนล่ะ ถึงอย่างไรเรื่องราวก็แย่ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดหลบแล้วจะหลบได้พ้น คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เจอกับหลุมหนึ่งไม่น่ากลัว แค่พยายามเดินผ่านมันไปให้ได้ก็พอ จะผ่านไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเจ้าก็เคยลองทำแล้ว ก็อย่างที่เจ้าพูดไว้นั่นแหละ เรื่องแค่นี้ตระกูลซุนแบกรับได้ไหวอยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!