ตอน บทที่ 258.2 จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 258.2 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเงยหน้ามองศพที่ตายอนาถศพนั้น
มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่คล้ายว่าศพของแม่ทัพเทพจะฟื้นคืนชีพกลับมา ประสานสายตากับเจิ้งต้าเฟิง ริมฝีปากของแม่ทัพเทพขยับเบาๆ ราวกับกำลังพูดคำหนึ่งว่า
หนีไป!
ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเกือบจะขวัญสลาย จิตวิญญาณแตกดับ และยิ่งเกือบจะกลายเป็นคนน่าสงสารที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต ขอบเขตก็ถอยร่นตกต่ำ
ตอนนั้นการปรากฏตัวของฝูฉีช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงหลุดพ้นพันธนาการนั้นมาได้ และคำถามของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ทำลายความคิดของเจิ้งต้าเฟิงลง
“เจิ้งต้าเฟิง ขอบเขตสามของข้าปูรากฐานมาได้ด้วยหมัดของคนอื่นที่ต่อยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อรากฐานของฟ่านเอ้อร์ไม่ถือว่าดีนัก ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเขา?”
เจิ้งต้าเฟิงจ้องเป๋งไปยังเจ้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วหลุดหัวเราะ “เจ้ารู้สึกว่ารากฐานขอบเขตสามของฟ่านเอ้อร์ ‘ไม่ถือว่าดีนัก’?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “หรือว่าแท้จริงแล้วคือ ‘ไม่ดีอย่างมาก’?”
เจิ้งต้าเฟิงเกือบจะสำลักควันตาย พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ไม่ดีกะผีน่ะสิ! ไม่พูดถึงข้าเจิ้งต้าเฟิง ศิษย์พี่รองหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีอ๋องเจ้าแคว้นอย่างซ่งจ่างจิ้งนั่นอีกคน หากพูดตามมาตรฐานทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ์ในแจกันสมบัติทวีป รากฐานของฟ่านเอ้อร์ตั้งแต่ขอบเขตหนึ่งถึงขอบเขตสามล้วนปูมาดีมากพอแล้ว อีกอย่างเดิมทีฟ่านเอ้อร์เองก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ แต่เจ้ากลับพูดว่าไม่ถือว่าดีนัก? ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในแจกันสมบัติทวีปก็ควรเอาก้อนเต้าหู้มาทุบหัวตัวเองให้ตาย หรือจะใช้สายรัดเอวของพวกผู้หญิงมาแขวนคอตายก็ได้”
เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มักจะรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่กำลังผลักภาระความรับผิดชอบ วันๆ เอาแต่หยอกเย้าพวกสตรีในร้านยา ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฟ่านเอ้อร์สักเท่าไหร่
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีพูดว่า “ตอนนี้ยังต้องเพิ่มเจ้าไปอีกคน หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นรากฐานขอบเขตสามของหลี่เอ้อร์อาจจะด้อยกว่าเจ้านิดหน่อยด้วย แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก เจ้าก็แค่ได้ดิบได้ดีในขอบเขตสามเท่านั้น รากฐานขอบเขตเก้าของหลี่เอ้อร์เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก ขอบเขตแปดของข้าก็พอๆ กัน แปลกใจจริง ใครกันที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ถึงขนาดใช้หมัดปูรากฐานขอบเขตสามของเจ้าได้ดีขนาดนี้? ท่านผู้เฒ่าคงไม่ได้เรียกหลี่เอ้อร์กลับมาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อให้เขาสอนเจ้าเองกับมือหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นคนอื่น”
คราวนี้เจิ้งต้าเฟิงอยากรู้จริงๆ ยาก็ไม่สูบอีกต่อไป “คนผู้นั้นหล่อหลอมร่างกายและจิตใจให้เจ้าอย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันนิ่วหน้าเล็กน้อย เพียงแค่นึกถึงสภาพการณ์ที่ตัวเองต้องเผชิญในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วก็รู้สึกใจคอไม่ดี
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ ว่า “แค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็พอ หากเจ้ายอมเล่า นอกจากการตกลงซื้อขายก่อนหน้านี้ ข้ายังจะมอบตำรากระบี่วิถีวรยุทธ์ที่เป็นขั้นพื้นฐานสุด แต่ถูกขนานนามให้เป็นตำราที่ ‘ไม่มีข้อผิดพลาดมากที่สุด’ ให้กับเจ้าอีกหนึ่งเล่ม ตอนนั้นท่านผู้เฒ่าซื้อมาจากเทพหยินตนหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้ากับหลี่เอ้อร์ และหลี่หลิ่วสามคนต่างก็เคยศึกษากันมาก่อน เพียงแต่ว่ามันไม่มีความหมายกับข้าเลย หลักๆ แล้วท่านผู้เฒ่าซื้อมาเพื่อให้หลี่หลิ่วมากกว่า และสำหรับเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดว่า “การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าไม่ต่างอะไรจากทุบข้าวเหนียวปั้นเป็นขนมหมาฉือ (ขนมโมจิ) ง่ายๆ แค่นี้แหละ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นข้ายังต้องทำอะไรบางอย่าง…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วชี้ไปยังแขนของตัวเอง “ข้าต้องเลาะหนัง ดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมาทีละชุ่นช้าๆ ดวงตาก็ห้ามกะพริบ ห้ามถลกหนังให้หมดในคราวเดียว แล้วก็ห้ามดึงเส้นเอ็นให้ขาด ทุกครั้งจะต้องมีคนคอยบอกว่าสามารถหยุดได้ตอนไหน หลังจากนั้นก็จะถูกคนแบกไปแช่ในถังยา เพื่อที่ว่าบาดแผลจะประสานตัวหายดีโดยเร็ว”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยถาม “รวมแล้วกี่ครั้ง? หนึ่งสองครั้ง? สามสี่ครั้ง?”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “ต้องทำทุกวัน สองมือก็นับไม่พอ”
เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าเหลือเชื่อก่อน จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะก๊าก “ดีๆๆ เห็นแก่ที่เจ้าต้องลำบากทนทรมานมามากขนาดนี้ พอข้าผู้อาวุโสนึกถึงแล้วก็ให้อารมณ์ดียิ่งนัก เดี๋ยวกลับไปข้าจะจัดระเบียบรวบรวมตำรากระบี่เล่มนั้นให้ดี รับรองว่าจะไม่เล่นตุกติกใดๆ จะมอบให้เจ้าอย่างสมบูรณ์แบบทั้งเล่มเลย!”
เฉินผิงอันเหลือกตามองสูงใส่
คนผู้นี้นี่น่าเบื่อชะมัด
แต่พอคิดแล้วก็เข้าใจได้ ถ้าไม่น่าเบื่อจริง จะมาเปิดร้านยาที่วันๆ ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายอย่างนี้ได้ยังไง?
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอยู่พักใหญ่ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “รากฐานที่มีมาตั้งแต่เกิดของฟ่านเอ้อร์ไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้า แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชายน้อยตระกูลใหญ่ ผ่านการขัดเกลามาน้อย ดังนั้นรากฐานวิถีวรยุทธ์ตลอดทั้งร่างที่ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือเนื้อหนังมังสา เมื่อเทียบกับพวกเราแล้วก็ยังถือว่าแข็งนอกอ่อนใน ไม่สามารถทนรับการทรมานอย่างที่เจ้าเผชิญมาได้ หากเจอเข้าจริงคงแตกสลายได้ง่าย”
เจิ้งต้าเฟิงใช้สองนิ้วคีบจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะ จอกใบนั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในทันที
เจิ้งต้าเฟิงพูดเรียบๆ ว่า “วิถีวรยุทธ์สำคัญกว่า หรือว่าชีวิตสำคัญกว่า?”
เฉินผิงอันเริ่มเก็บชามและตะเกียบ
อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงหนักอึ้งขึ้นมาทันที
เพราะเขาเพิ่งค้นพบว่า เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันถูกทุบแตก น้ำบ่อนั้นลึกมาก ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้
พอเห็นท่าทางที่เก็บถ้วยชามอย่างคล่องแคล่วของเฉินผิงอัน จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกสงสารเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
พอยืดตัวขึ้นตรง ฝูหนันหัวก็หันไปยิ้มพูดกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง “ท่านปู่ฉู่ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
ไม่คิดว่าหลังจากหายตกตะลึง ผู้เฒ่าจะกุมมือโค้งตัวคารวะนิ่งอยู่เป็นนาน แสดงความนอบน้อมจริงใจเสียยิ่งกว่าเด็กรุ่นหลังอย่างฝูหนันหัวซะอีก “ฉู่หยางลูกหลานอกตัญญูแห่งสกุลฉู่ชุ่ยเวยจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางขอเป็นตัวแทนตระกูลขอบพระคุณจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ที่ช่วยชีวิต!”
สวี่รั่วหลุดหัวเราะพรืด เคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นในสกุลฉู่ชุ่ยเวยปีนั้น เขาสวี่รั่วก็แค่ผ่านทางไปพบเข้า จึงให้ความช่วยเหลือโดยช่วยรับหน้าการพัวพันเอาเรื่องจากตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อมีคำว่าสำนักแทนตระกูลฉู่ เขาโบกมือกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ ข้าก็แค่ยึดตามหลักปฏิบัติของสำนักโม่เท่านั้น”
ผู้เฒ่ายังคงไม่ยืดตัวขึ้น เขาพูดเสียงสั่นว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ก็คือพระคุณยิ่งใหญ่ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ลงมือช่วยเหลือ ฉู่หยางก็คงกลายเป็นสุนัขไร้บ้านไปจริงๆ แล้ว ต่อให้วันหน้าอยากจะระลึกถึงบรรพบุรุษหวนกลับวงศ์ตระกูลก็คงเป็นเพียงความฝันเพ้อฝัน จอมยุทธ์ใหญ่สวี่มีความจริงใจและมีน้ำใจ ย่อมไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ แต่ฉู่หยางไม่กล้าทำตัวเป็นคนเนรคุณเด็ดขาด!”
สวี่รั่วกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความจริงใจข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเอาแต่ค้อมเอวอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง”
ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถที่ใบหน้าแก่กว่าสวี่รั่วถึงหนึ่งรุ่นเก็บท่าคารวะใหญ่นั้นลง มองไปทางเซียนกระบี่ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเอาภูเขาและแม่น้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาผสานเข้ากับปณิธานกระบี่ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอจอมยุทธ์ใหญ่ที่แจกันสมบัติทวีป ฉู่หยางสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว ความอัดอั้นไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อตระกูลฝู ในที่สุดวันนี้ก็สลายหายไปเสียที!”
ฝูหนันหัวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตโอสถทองในนครมังกรเฒ่า นิสัยเจ้าอารมณ์จริงๆ แถมยังไม่เห็นแก่บุญคุณกันด้วย!
นอกเหนือจากความจนใจแล้ว ความคิดร้อยพันยังประดังประเดเข้าหาฝูหนันหัว ในอดีตตอนที่ฉู่หยางขอบเขตโอสถทองเดินทางมาถึงที่นครมังกรเฒ่านั้นมีนิสัยโอหังเย่อหยิ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องเดียวก็เกิดความขัดแย้งกับตระกูลแซ่ใหญ่ตระกูลหนึ่งของนครมังกรเฒ่า ต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำ ฉู่หยางใช้กำลังของตัวเองคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มโดยที่ไม่ตกเป็นรอง ถึงท้ายที่สุดเป็นฝูฉีที่ลงมือด้วยตัวเอง เขาต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนผู้นี้ด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ทุ่มภูเขาเงินภูเขาทอง แล้วค่อยยกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างหอมังกร ถึงทำให้ฉู่หยางยอมฝืนใจกลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้ของตระกูลฝู ต่อห้ตระกูลฝูจะจริงใจถึงขนาดนี้ ฉู่หยางก็ยังพูดกับตระกูลฝูตามตรงว่า วันหน้าไม่ว่าตระกูลฝูมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่ไม่เกี่ยวกันพับการล่มสลายของตระกูล เขาฉู่หยางจะไม่มีทางลงมือช่วยเหลือเด็ดขาด หากใครในตระกูลฝูกล้าเอาเรื่องบุญคุณมาข่มขู่ให้เขาตอบแทน ก็อย่าโทษหากเขาจะแตกหักไม่เห็นแก่หน้าใคร สุดท้ายตระกูลฝูจึงยอมฝืนใจยอมรับข้อเสนอ
ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่มีหวังว่ากลายเป็นเซียนพสุธา เวลานี้กลับมีสภาพจิตใจและความคิดเช่นเดียวกับตอนที่เป็นฉู่หยางผู้ลึกล้ำเกินจะหยั่งซึ่งฝูหนันหัวเคยพบเห็นตอนยังเป็นเด็ก
จู่ๆ ฝูหนันหัวก็เกิดความใคร่รู้ว่า จอมยุทธ์สำนักโม่ผู้นี้จะมีคนที่เขาเลื่อมใสด้วยใจจริงหรือเปล่า? เวลาที่พบเจอกับคนผู้นั้นจะยอมลดตัวเองให้เป็นเพียงผู้น้อยที่แหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจหรือไม่?
ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถจินตนาการภาพนั้นออกได้เลย
สวี่รั่วไม่สนใจจะพูดคุยปราศรัยกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง เขาเดินตรงขึ้นไปบนหอมังกร
ฉู่หยางไม่มีแม้แต่ความคิดจะออกเสียงเอ่ยเตือน ฝูหนันหัวอยากจะเปิดปากพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!