ซากโบราณสถานสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่ปราณวิญญาณเบาบางอย่างถึงที่สุด เทวรูปใหญ่ยักษ์มากมายที่ ‘ตอนมีชีวิตอยู่’ สูงหลายสิบจั้งหลายร้อยจั้งล้วนล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ไม่มีองค์ใดที่โชคดี ร่างของพวกเขาทอดยาวเรียงรายต่อกันไปประหนึ่งเทือกเขาสายหนึ่งที่แตกสลาย
สถานที่แห่งนี้กลายมาเป็นพื้นที่ต้องห้ามทางธรรมชาติของผู้ฝึกลมปราณในทวีป
มักจะมีพายุลมกรดม้วนตัวขึ้นท่ามกลางฟ้าดินอย่างไม่มีลางบอกเหตุเป็นประจำ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าโอสถทองเซียนพสุธาลงมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นไม่ต่างจากคมมีดที่เลาะหนังเถือกระดูก
ตรงพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งซึ่งเศษซากล้มกองอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าตอนที่เทวรูปซึ่งอยู่ในท่าจีบดอกไม้คลี่ยิ้มอย่างเมตตาล้มครืนลงไปบนพื้น ท่อนแขนทั้งท่อนยาวเสมอไหล่ได้หักออก ตอนที่ทั้งแขนร่วงลงไปบนพื้น ดอกไม้ที่นิ้วของพระพุทธรูปคีบไว้แตกสลายไปก่อน นิ้วทั้งห้าเหลือแค่สาม มีนิ้วข้างหนึ่งตวัดโค้งงอนชี้ไปบนฟ้า เพียงแค่นิ้วเดียวก็สูงถึงสิบกว่าจั้ง ไม่ต้องคิดก็จินตนาการได้ว่าหากอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ พระพุทธรูปองค์นี้จะสูงใหญ่มากเพียงใด
เด็กสาวสวมชุดขาวเปลือยเท้าคนหนึ่งยืนอยู่บนนิ้ว ตาสองข้างปิดสนิท มือสองข้างทำมุทรา ยืนตระหง่านรับลม
รูปโฉมของเด็กสาวธรรมดา เหมือนเด็กสาวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่พบเห็นได้ทั่วไปคนหนึ่ง
เด็กสาวไม่ได้ลืมตา แต่ริมฝีปากของนางขยับคล้ายกำลังเอ่ยภาษาท้องถิ่นของทวีปเกราะทองเบาๆ ว่า “เปิด”
พายุหมุนลูกหนึ่งแยกออกเป็นสองส่วนเหมือนถูกคนผ่ากลาง แล้วพุ่งผ่านสองข้างของนิ้วมือหนึ่งของพระพุทธรูปไป มีเพียงเส้นใยถักทอเป็นตาข่ายที่กรีดผ่านข้างแก้มของเด็กสาวไปได้สำเร็จ บนใบหน้าของนางจึงปรากฏรอยเลือดเป็นเส้นๆ ทันที เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวโฉมหน้าของเด็กสาวก็กลับคืนมาเป็นปกติดังเดิม
สายลมพัดผ่านเด็กสาว หอบเอากลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ลอยโชยไป
……
น่านมหาสมุทรแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับกุรุทวีป บนยอดเขาขนาดใหญ่ที่ลักษณะของภูเขาคล้ายเหล็กหมาดที่แทงขึ้นฟ้า มีเพียงบนยอดเขาเท่านั้นที่มีแอ่งเว้าทรงกลมลักษณะเหมือนปากถ้วย มองลงไปคล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แต่กลับพอจะมองเห็นได้ว่ามีแสงไฟสาดส่องอยู่ตรงผนังบ่อ ตรงกลาง ‘ปากบ่อ’ ของภูเขาไฟที่ยังปะทุลูกนี้มีชายฉกรรจ์ร่างกายเปลือยเปล่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินสีดำเมี่ยม เท้าคางด้วยมือข้างเดียวท่าทางกำลังใช้ความคิด รอบกายมีเพลิงลาวาไหลริน คลื่นร้อนเดือดพล่านแผดเผา แต่ชายฉกรรจ์กลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย
บุรุษเกิดมาก็มีดวงตาดำสองดวงซ้อนกัน
เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย พึมพำพูดว่า “ธรณีประตูขอบเขตร่างทองนี่ฝ่าไปยากไม่น้อย ต้องโทษที่ตัวเองกินยาวิเศษมากเกินไป? สองร้อยจิน? หรือว่าสามร้อยจิน? ดูท่าเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองแล้วคงไม่สามารถกินเจ้าของเล่นพวกนั้นแทนข้าวอย่างโง่งมได้อีกแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ถ่ายหนักทุกวันก็ยุ่งยากมากแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงเสียหน้าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกแย่”
กระบี่บินคมกริบเล่มหนึ่งพุ่งจากปากบ่อแทงลงไปด้านล่างอย่างเงียบเชียบ บุรุษร่างกำยำนอนพังพาบอยู่บนพื้น กลิ้งไถลลงไปในทะเลเพลิงอย่างหมดท่า
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตซึ่งมีขนาดไม่ต่างไปจากกระบี่ของมือกระบี่ล่างภูเขาเล่มนั้นยังคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บินพุ่งไปทั่วรอบผนังของภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งหลุนๆ ลงไปในทะเลเพลิง
หากอยู่ในพื้นที่แห่งอื่นของอุตรกุรุทวีป ด้วยตบะของเจ้าของกระบี่บินและระดับความคมกริบของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ เกรงว่าภูเขาทั้งลูกคงถูกแทงทะลุทะลวงไปนานแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ที่แห่งนี้ กระบี่บินที่ฟาดฟันก้อนหินของผนังบ่อกลับได้รับอุปสรรคขัดขวางอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าสวมชุดคลุมยาวที่สะพายกระบี่ยาวไว้ด้านหลังคนหนึ่งยืนอยู่บนปากบ่อภูเขาไฟ หลังจากแทงกระบี่โดนชายฉกรรจ์ที่มีลูกตาดำสองชั้นไปหนึ่งครั้ง เสียงปานฟ้าผ่าของของผู้เฒ่าก็ดังก้องไปถึงด้านล่างของบ่อ “ในที่สุดก็หาตัวเจ้าเจอสักที เจ้าสารเลวสมควรโดนแทงพันครั้ง! เลิกแกล้งตายได้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าดวงแข็งยิ่งนัก ไม่เป็นไร เจ้าเป็นคนเลือกสถานที่ตายไร้ทางหลบหนีแห่งนี้เอง หากตายอยู่ที่นี่ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกให้ฝัง ไม่แน่ว่าความวอดวายที่ติดตัวเจ้ามาอาจจะลดน้อยลงไปได้หลายส่วน”
ผู้เฒ่ายื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน อ้อมไปด้านหลัง ปาดลงบนด้ามกระบี่เบาๆ หนึ่งที
กระบี่ออกจากฝักพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆ จากนั้นก็ร่วงลงมาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว พุ่งจากปากปล่องภูเขาไฟลงไปยังทะเลเพลิงผืนนั้น เมื่อกระบี่ยาวจมลงไปยังลาวาแดงฉาน เสียงกัมปนาทก็สนั่นกึกก้อง ลูกคลื่นเปลวไฟสูงหลายจั้งสาดกระเซ็นไปทั่ว
พอจะเห็นได้ว่าท่ามกลางทะเลเมฆมีเงาร่างที่พร่าเลือนกำลังแหวกว่ายอย่างรวดเร็ว กระบี่ยาวเล่มนั้นก็เป็นเหมือนฉมวกแทงปลาที่ไล่ล่าตามจ้วงแทงไม่ลดละ
สี่ทิศรอบภูเขาไฟ แต่ละทิศล้วนมีคนผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นเขามา มีนักพรตเต๋าวัยชราที่ใช้ยันต์แปะไปบนหินก้อนแล้วก้อนเล่า มีหลวงจีนที่พนมสองมือเป็นตราประทับ จากนั้นก็ตบลงไปบนพื้นเบาๆ มีคนถือม้วนภาพวาดที่ดูเหมือนว่าจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุดม้วนหนึ่ง ลากจากตีนเขายาวขึ้นมาด้านบนประหนึ่งปูพรมบนพื้นดิน และยิ่งมีผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียวที่ในมือถือพู่กันกำลังสาดหมึกลงไปบนพื้น เขียนประโยคคำสอนของอริยะลัทธิขงจื๊อมากมายหลายประโยค
ผู้เฒ่าบนยอดเขาที่พยายามใช้กระบี่สองเล่มสังหารคนชั่วเอ่ยเย้ยตัวเองว่า “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง ไล่ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพที่ยังไม่ถึงขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งกลับต้องเปลืองแรงมากถึงขนาดนี้”
พอผู้เฒ่าคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายแต่ละครั้งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่สำนักของเขาเท่านั้นที่เดือดร้อน ยังมีคนบนภูเขาและล่างภูเขาอีกนับไม่ถ้วนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม ในใจของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองท่านนี้ก็เดือดดาลสุดขีด กล่าวอย่างมีโทสะว่า “คนที่ฆ่าผู้อื่นเพื่อความบันเทิงอย่างเจ้า ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย! ตายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่สาสม!”
……
สองกองทัพเผชิญหน้า เสียงรัวกลองดังสะเทือนฟ้า
ในกองทัพใหญ่แห่งหนึ่ง บนหอสูงที่สร้างขึ้นชั่วคราวมีบุรุษสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งนอนหลับอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งนอน มองดูแล้วอายุไม่ถึงสามสิบปี มีดรุณีน้อยหน้าตางามล่มเมืองสองคนนั่งอยู่สองด้านของตั่งนอน คนหนึ่งช่วยนวดคลึงจุดไท่หยาง อีกคนหนึ่งก้มตัวทุบน่องให้บุรุษเบาๆ
ที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือด้านหลังบุรุษมีธงใหญ่ของแม่ทัพหลักตั้งตระหง่าน เสียงผืนธงสะบัดตามลมดังพั่บๆ
หญิงสาวหน้าตางามล้ำแต่กลับมีกิริยาท่าทางเหมือนสาวใช้คนหนึ่งค่อยๆ ทุบน่องด้านนอกของบุรุษชุดแพรอย่างระมัดระวัง นางชำเลืองตามองสตรีอีกคนหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มพูดเสียงหวานว่า “คุณชาย ได้ยินว่าคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดคนหนึ่งและผู้ฝึกตนขอบเขตเก้าจากสำนักการทหารคนหนึ่งคอยช่วยคุมกองทัพให้ ดูท่าอดีตสามีของเสียซิ่วเรา คงจะรักเสียซิ่วมากจริงๆ ถึงได้บันดาลโทสะเพื่อสาวงาม ช่างน่ายกย่องสรรเสริญยิ่งนัก คุณชาย ไม่สู้ท่านคืนเสียซิ่วให้เขาไป กระจกแตกกลับมาประสานกันอีกครั้ง (ปรียบเทียบถึงสามีภรรยาที่พรัดพรากจากกันไป หรือทะเลาะกันกลับมาคืนดีกันอีกครั้ง) ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไร…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีหน้าตางดงามก็ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก “ถึงอย่างไรคุณชายก็ชิมแม่นางเสียซิ่วของเราไปพอสมควรแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยังเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่เคยเต็มใจอยากแบ่งปันความเท่าเทียมกับเหล่าพี่น้อง นี่ไม่เท่ากับทำลายความสำราญของคุณชายหรอกหรือ? ใต้หล้านี้มีสตรีที่ไหนเผด็จการแบบนี้บ้าง”
โฉมสะคราญอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าเสียซิ่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ใช้นิ้วหัวแม่มือสองข้างกดจุดไท่หยางของชายชุดแพรเบาๆ แล้วหมุนคลึงด้วยท่าทางนุ่มนวลระมัดระวัง
บุรุษชุดแพรยิ้มตาหยี “เสียซิ่วขี้อาย ข้าผู้เป็นคุณชายสงสารนาง ส่วนเจ้านั้นทนรับความลำบากได้ไหว หากข้าผู้เป็นคุณชายเอ็นดูเจ้าอย่างโง่งม เอาแต่สงสารเจ้าท่าเดียว ไม่เข้าอกเข้าใจสตรี เจ้าจะไม่ก่อกบฏหรอกหรือ?”
หญิงสาวที่ทุบขาคลี่ยิ้มเบิกบาน เลิกคิ้วใส่ ‘เสียซิ่ว’ ผู้นั้นเบาๆ
ฝ่ายหลังไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายท้าทายแม้แต่น้อย
บุรุษชุดแพรยกขาขึ้นเบาๆ “ถอดรองเท้าให้ข้า!”
วินาทีนั้นสายตาของหญิงสาวพลันเร่าร้อน ขยับไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตั่งนอน มือทั้งสองข้างที่สั่นเทาขยับปลดรองเท้าหุ้มแข้งให้บุรุษ
บุรุษลุกขึ้นนั่ง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “ทวีปฝูเหยาของพวกเราใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปนั่นแค่หน่อยเดียว น่าเบื่อชะมัด”
เขาเปลือยเท้า ยื่นมือสอดลึกเข้าไปในคอเสียของหญิงสาวที่ชื่อว่า ‘เสียซิ่ว’ สุดท้ายหยิบลูกกลมสีทองที่ยังมีไอร้อนของคนงามออกมาหนึ่งเม็ด บีบเบาๆ บนร่างก็สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเงินที่มักถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างของสำนักการทหาร ที่น่าประหลาดก็คือเสื้อเกราะตัวนี้เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล และตรงหัวใจก็ยิ่งมีรูเล็กๆ รูหนึ่งเหมือนเคยถูกกระบี่ยาวแทงทะลุ
บุรุษหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะวิเศษไม่รู้ชื่อเดินไปข้างหน้าช้าๆ หลายก้าว แต่แล้วจู่ๆ ก็หันมาพูดกับสตรีที่ชื่อเสียซิ่วด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ว่าเรื่องใดอดีตสามีของเจ้าก็สู้ข้าไม่ได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจตามเขาได้ทัน นั่นก็คือการทำรื่องตลก”
เขายื่นมือข้างหนึ่งชี้ไปยังธงผืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ห่างไปไกล มุมปากตวัดโค้ง พูดกับหญิงสาวว่า “ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เชิญผู้ฝึกกระบี่มาแล้วยังจะเชิญผู้ฝึกตนสำนักการทหารมาอีก คุณชายของเจ้าเกือบจะถูกเขาทำให้ขำตายซะแล้ว”
สาวงามที่ถอดรองเท้าให้บุรุษหนุ่มนั่งลงไปบนพื้น เอาหลังพิงตั่งนอน กุมท้องหัวเราะเสียงดัง ฉายเสน่ห์ชวนมอง
บุรุษหันไปทางกองทัพใหญ่ของศัตรู แหงนหน้าหัวเราะดังก้อง “ภรรยาของคนอื่นดี ภรรยาหม้ายของคนอื่นก็ยิ่งดี!”
บุรุษที่สวมเสื้อเกราะวิเศษสีเหมือนน้ำค้างแข็งทะยานตัวขึ้นสูง แหวกอากาศจากไป กระโดดข้ามกองทัพใหญ่ของฝั่งตรงข้าม ลอยตัวอยู่เหนือหัวของกองทัพม้านับพันนับหมื่นนายประดุจสายรุ้งสีขาวที่พาดผ่านกลางนภา
……
ทางทิศเหนือสุดของธวัลทวีป พื้นที่ที่มีหิมะและน้ำแข็งขาวโพลนไร้ที่สิ้นสุด พายุหิมะพัดกระโชกแรงจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์
มีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมหนังเตียวสีขาวกระจ่าง บางครั้งเมื่อลมหิมะพัดมาก็จะกระชับเสื้อคลุมให้แน่นเข้า นั่นถึงทำให้เห็นว่าเรือนกายใต้ชุดคลุมเพรียวบาง เบื้องใต้หมวกขนเตียวขนาดใหญ่ที่กดลงต่ำเผยให้เห็นดวงตาใสสว่างคู่หนึ่ง
ตรงเอวของคนผู้นี้ห้อยดาบยาวฝักดำที่เผยให้เห็นเพียงส่วนเล็กๆ
นางมักจะคอยยื่นมือออกมาจากชุดคลุมตัวใหญ่ ใช้นิ้วโป้งลูบด้ามดาบเบาๆ
เผยให้เห็นข้อมือขาวนวลดุจรากบัว ดูเหมือนผิวของนางจะขาวยิ่งกว่าหิมะเสียอีก อีกทั้งยังมีประกายแวววาวเปล่งแสงเป็นระลอก
น่าจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
แต่นางกลับกล้าเดินทางอยู่ท่ามกลางแผ่นดินที่มีเพียงหิมะหนาวเหน็บเสียดแทงขั้วกระดูกเพียงลำพัง นางเดินอยู่ในทิศเหนือสุดของธวัลทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือสุดของเก้าทวีปใหญ่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!