เพียงไม่นานก็มีคนออกมาต้อนรับเฉินผิงอัน คือสตรีแต่งงานแล้ววัยกลางคนผู้หนึ่ง ระหว่างที่เดินเยื้องย่างมาไม่มีกลิ่นอายของเสน่ห์เย้ายวนใจคนแม้แต่น้อย แม้ว่าหน้าตาจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่บุคลิกกลับดีเยี่ยม เรียบง่ายสง่างาม อีกทั้งเมื่อเฉินผิงอันสังเกตบรรยากาศรอบตัวนางก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางคนหนึ่ง นางแนะนำตัวว่านางเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเรือเกาะกุ้ยฮวาในนาม พูดด้วยรอยยิ้มว่านางได้เปรียบที่อายุมากแล้ว คุณชายเฉินเรียกนางว่าน้ากุ้ยก็ได้ กุ้ยคำเดียวกับกุ้ยฮวา เฉินผิงอันจึงเรียกนางว่าน้ากุ้ยหนึ่งคำ แล้วพูดว่าเดินทางไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้คงต้องรบกวนแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้ายิ้มบางๆ “คนทำการค้าอย่างพวกเรา มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบากอะไร”
นางชี้ไปยังแผ่นป้ายไม้ตรงเอวเฉินผิงอันแล้วอธิบายว่า “เมื่อมีป้ายแขกกุ้ยที่จะได้รับมาจากเจ้าประมุขเท่านั้นแผ่นนี้ ไม่ว่าคุณชายเฉินจะซื้ออะไรบนเกาะกุ้ยฮวาก็ล้วนลดเจ็ดส่วน”
จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ รอยยิ้มมีความสนิทสนมเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “คุณชายฟ่านฝากมาบอกข้าผู้เป็นน้าแล้ว ดังนั้นจึงจะแหวกกฎให้คุณชายเฉินอีกครั้ง ของทุกชิ้นลดราคาหกส่วน” (การลดราคาของจีนจะพูดกลับกัน ลดหกส่วน ความจริงแล้วคือลดสี่ส่วนในสิบส่วน หรือ 40% ดังนั้นยิ่งจำนวนตัวเลขน้อยก็จะยิ่งมีส่วนลดมากเท่านั้น เช่นลดสามส่วน เท่ากับว่าลด 70%)
แม้ว่าเฉินผิงอันจะพยักหน้ารับ แต่ในใจตัดสินใจแล้วว่า หากไม่ใช่สิ่งของที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ การเดินทางไกลข้ามทวีปครั้งนี้จะไม่ซื้อของอะไรเด็ดขาด ในเมื่อคนอื่นเห็นเจ้าเป็นสหาย เจ้าก็ควรจะเห็นคนอื่นเป็นสหายเช่นกัน ดังนั้นระหว่างเพื่อนที่แท้จริง การทำการค้าไม่ใช่เรื่องที่เฉินผิงอันถนัด เพราะไม่รู้ว่าจะกะระดับความพอดีได้อย่างไร
น้ากุ้ยสตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันเดินไปยังจวนใหญ่ประตูสูงที่มีชื่อว่ากุ้ยกง คอยแนะนำขนบธรรมเนียมประเพณีบนเกาะกุ้ยฮวาให้เด็กหนุ่มฟังไปตลอดทาง พูดถึงขนมกุ้ยฮวาและเหล้ากุ้ยจื่อให้เขาฟังโดยเฉพาะ บอกว่าจะต้องชิมให้มากๆ หน่อย ในเรือนเล็กของจวนเดี่ยวที่เฉินผิงอันไปพักมีอยู่แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ แค่ขอเอาจากแม่นางกุ้ยฮวาหรือก็คือสาวใช้ผู้รับผิดชอบดูแลเรือนก็พอ
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ดื่มเหล้าน่ะข้าชอบ”
สตรีแต่งงานแล้วเหลือบตามอง ‘น้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาด’ ใบนั้นแล้วคลี่ยิ้ม “แบบนั้นก็ดี”
บนเกาะกุ้ยฮวามีต้นกุ้ยนับพันต้น ต้นบรรพบุรุษสูงเสียดฟ้าที่อยู่บนยอดเขามีอายุมากกว่านครมังกรเฒ่าซะอีก เซียนสำนักกสิกรรมบางคนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนำมาปลูกไว้ด้วยมือตัวเอง การที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถกลายมาเป็นเรือข้ามฟากลำหนึ่ง ต่อให้ผ่านระยะเวลามานานเป็นพันปีก็ไม่เคยมีความเสียหาย อีกทั้งเมื่อรากของต้นกุ้ยบนเกาะหยั่งรากแผ่ขยายลามออกไป บวกกับที่ตระกูลฟ่านใช้เวทอาคมที่พิเศษมาเพิ่มดิน เกาะกุ้ยฮวาจึงยังเติบโตได้อย่างเชื่องช้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของต้นกุ้ยฮวาบรรพบุรุษต้นนั้นทั้งสิ้น และการที่เหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านขายมีราคาสูงเทียมฟ้า แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาด นั่นก็เป็นเพราะดอกกุ้ยฮวาที่นำมาหมักเป็นเหล้าเอามาจากต้นกุ้ยอายุพันปีต้นนั้น พ่อค้ารายใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับแจกันสมบัติทวีปและนครมังกรเฒ่าจะซื้อบ้างเป็นบางโอกาส โดยส่วนใหญ่จะนำไปมอบเป็นของขวัญหรือไม่ก็เก็บไว้ดื่มเอง
ผ่านประตูใหญ่ของเรือนกุ้ยกงมา สตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันเดินลอดระเบียงไปตลอดทาง ตัวเรือนไม่ได้ดูหรูหราโอ่อ่า แต่เป็นลักษณะแบบบ้านที่มีสะพานเล็กๆ พาดข้ามธารน้ำไหลริน สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วพาเฉินผิงอันมาที่เรือนแห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่า ‘กุยม่าย’ (เส้นใยเครื่องกุย) เห็นเฉินผิงอันแหงนหน้ามองอยู่หลายครั้งจึงอธิบายว่า “เนื่องจากเส้นใยของดอกกุ้ยมีลักษณะคล้ายเครื่องกุยที่ใช้ในพิธีกรรมของลัทธิขงจื๊อ จึงเรียกว่ากุ้ย (桂 คือการผสมตัวอักษร คืออักษรต้นไม้ 木 กับอักษรกุย 圭) แม้ว่าพื้นที่ของเรือนแห่งนี้จะไม่กว้างขวาง แต่กลับเป็นสถานที่ที่ดีที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นที่สุดของเกาะกุ้ยฮวา”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรไปเปล่าๆ ตนไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ปราณวิญญาณจะเข้มข้นหรือเบาบางก็ล้วนไม่มีความหมายต่อเขา ไม่สู้ยกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแบบนี้ให้คนจ่ายเงินเข้ามาพักอาศัยยังจะดีกว่า จึงพูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “น้ากุ้ย ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ยกให้ข้าคงสิ้นเปลืองเกินไป เปลี่ยนให้ข้าไปอยู่ที่อื่นดีกว่าไหม?”
สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่เรื่องของเงิน คุณชายเฉินวางใจได้เลย ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายเฉินกับนายน้อยตระกูลข้า ต่อให้วันหน้าสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นเรือนของคุณชายเพียงคนเดียว ไม่เปิดให้คนอื่นเข้ามาพักอาศัยอีก ข้าก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย”
ประโยคนี้ทิ่มแทงจุดอ่อนในหัวใจของเฉินผิงอันพอดี พอนึกถึงฟ่านเอ้อร์ เฉินผิงอันก็เดินเข้าไปในเรือนเล็กกุยม่ายที่สง่างามและเงียบสงบแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ
ในลานบ้านมีเด็กสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว เรือนกายของนางสูงสะโอดสะอง บุคลิกค่อนข้างเย็นชา ต่อให้เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังมีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่พอเห็นสตรีแต่งงานแล้วกับเฉินผิงอัน นางก็รีบคลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันทันทีและกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “คุณชายเฉิน ข้าชื่อจินซู่ จินจากจินเซ่อที่แปลว่าสีทอง ซู่จากซู่หมี่ที่แปลว่าข้าวโพด ซึ่งในตำราบอกว่ามีความหมายเป็นดอกกุ้ยฮวา วันหน้าข้าจะเป็นคนดูแลเรื่องการกินอยู่ของคุณชาย”
พอเด็กสาวผู้เย็นชาคลี่ยิ้มกลับให้ความรู้สึกเหมือนหนึ่งบุปผาเบ่งบานร้อยบุปผาร่วงโรย
เฉินผิงอันค่อนข้างจะระมัดระวังตัว เขายกมือขึ้นกุมประสานไปตามจิตใต้สำนึก “วันหน้าคงต้องรบกวนแม่นางจินซู่แล้ว”
จากนั้นเขาก็มีท่าทางผิดหวังเล็กน้อย รีบปลดกาเหล้าลงมาดื่มอย่างรวดเร็ว
สตรีแต่งงานแล้วเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าและท่าทางผู้คน จึงสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเด็กหนุ่มอย่างคนความรู้สึกไว แต่กลับไม่ได้คิดลึก มนุษย์บนโลกมีนับร้อยนับพันรูปแบบ เด็กหนุ่มจะมีเรื่องในใจบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
สตรีแต่งงานแล้วบอกลาจากไป แต่กลับเจอคนคุ้นเคยคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงหน้าประตูโดยที่นางไม่คาดคิด และตามหลักแล้วเขาก็ไม่ควรจะมาปรากฎตัว เขาก็คือสารถีเฒ่าของตระกูลฟ่านที่ขับรถมาส่งเด็กหนุ่มสองคนเดินทางมายังเกาะกุ้ยฮวา สตรีแต่งงานแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยฟ่านยังมีเรื่องที่จะกำชับสั่งความอีกหรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับน้ากุ้ยท่านนี้ สารถีเฒ่าค่อนข้างจะให้ความเคารพอยู่ไม่น้อย เขาส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ได้รับคำสั่งจากเจ้าประมุขให้เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวพร้อมกับคุณชายเฉิน ระหว่างนี้ข้าคงต้องพักอยู่ที่เรือนเล็กกุยม่ายด้วย”
ความแปลกใจในดวงตาของน้ากุ้ยยิ่งเข้มข้น เอ่ยถามว่า “จะให้จินซู่ไปอยู่เรือนอื่นหรือไม่?”
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับ “ทางที่ดีที่สุดควรเป็นเช่นนี้ ให้นางเลือกพักในเรือนที่อยู่ใกล้หน่อย ทุกวันแค่เอาอาหารมาส่งก็พอ เรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”
แม้ว่าจะยังสงสัยอยู่ไม่คลาย แต่น้ากุ้ยกลับไม่ได้พูดอะไรให้มากความ หันหน้าไปพูดกับจินซู่ที่สีหน้าเป็นปกติแล้วจากไปพร้อมกัน
สารถีเฒ่าไม่ลืมเอ่ยเตือนอีกประโยค “เจ้าประมุขสั่งความมาว่า คงต้องรบกวนฮูหยินกุ้ยอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือบอกให้ต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาแผ่ร่มเงาบางส่วนมาที่เรือนเล็กกุยม่ายแห่งนี้ด้วย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกคนนอกลอบมอง”
น้ากุ้ยพยักหน้ารับ เด็กสาวจินซู่ที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเก็บหัวเชื้อดอกกุ้ยฮวามาร่วมร้อยกว่าดอกอดหันไปมองสารถีเฒ่าและเด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะอีกครั้งไม่ได้
หลังจากที่น้ากุ้ยและจินซู่เดินออกจากลานบ้านไปแล้ว ลมภูเขาเย็นๆ ระลอกหนึ่งก็พัดโชยผ่านที่แห่งนี้มา ขณะเดียวกันก็มีร่มไม้เคลื่อนมาปกคลุมลานบ้าน เพียงแต่ว่าแค่แวบเดียวก็หายไป แสงแดดเจิดจ้ากลับคืนมาดังเดิม
สารถีเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์เรียกว่าท่านปู่หม่าหันหน้ามาหาเฉินผิงอัน พูดอย่างเปิดเผยว่า “ข้าชื่อหม่าจื้อ เป็นหนึ่งในชิงเค่อ (ในสมัยโบราณหมายถึงแขกที่เชิญมาอาศัยในบ้านของชนชั้นสูงหรือบ้านของขุนนางเพื่อให้ความช่วยเหลือในตระกูล) ของตระกูลฟ่าน ข้าคือมือกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง แต่พรสวรรค์ไม่สูง พลังการสังหารไม่แข็งแกร่ง ต่อให้เจอกับฉู่หยางข้ารับใช้ตระกูลฝูที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ครั้งนี้ข้าหม่าจื้อได้รับคำสั่งจากเจ้าประมุข แต่ว่าเจ้าประมุขได้รับการไหว้วานมาจากเถ้าแก่เจิ้งร้านยาฮุยเฉินอีกที ดังนั้นข้าจึงจะมาช่วยเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้กับคุณชายเฉิน”
พอได้ยินคำว่าเถ้าแก่เจิ้ง เฉินผิงอันจึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในการตอบแทนของเจิ้งต้าเฟิง จึงยกมือขึ้นกุมคารวะเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เข้ามาในลานบ้านขนาดเล็กแห่งนี้
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับยิ้มๆ “ยังไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพักอยู่ในห้องปีกข้างของเรือนเล็ก วันนี้คุณชายเฉินพักผ่อนให้สบายก่อนเถอะ จะไปเดินเล่นบนเกาะดูก็ได้ ไม่อย่างนั้นวันพรุ่งนี้เริ่มฝึกกระบี่ คุณชายเฉินก็อาจจะไม่มีเวลาว่างเหมือนตอนนี้อีกแล้ว”
ผู้เฒ่าเดินเข้าไปในห้องหนึ่งที่อยู่ปีกข้าง พอปิดประตูลงแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “หากท่านเจิ้งไม่ได้ล้อเล่น ถ้าอย่างนั้นวิธีการรับรองแขกของเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านเราครั้งนี้ก็ออกจะเกินจริงไปหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์เด็กหนุ่มคนนั้นจะรับได้ไหวจริงๆ หรือ? ต่อให้ข้าหม่าจื้อจะไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวในกลุ่มของผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองมากแค่ไหน แต่ดีๆ ชั่วๆ ก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเก้านะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ก็มีกระบี่บินสีหมึกยาวชุ่นกว่าเล่มหนึ่งบินออกมาจากช่องโพรงลมปราณของผู้เฒ่า หลังจากเผยตัวมันก็เริ่มบินวนไปรอบๆ ผู้เฒ่าอย่างเชื่องช้า ปราณกระบี่เข้มข้นลากเอาลำแสงสีดำหลายเส้นยืดขยายมาตามหลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!