สรุปเนื้อหา บทที่ 260.2 – กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! โดย Internet
บท บทที่ 260.2 ของ กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที คิดจะรับลูกศิษย์ ‘ที่น่าภาคภูมิใจ’ สมใจตนสักคนนั้นยากเพียงใด คิดจะให้ลูกศิษย์ฝ่าทะลุขอบเขต เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ดังนั้นในเรื่องการรับลูกศิษย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญอีกที เป็นรองแค่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนมรรคาของตัวเองเท่านั้น เซียนพสุธาขอบเขตสิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่นางรู้จัก เพื่อพิสูจน์สภาพจิตใจของลูกศิษย์ในอนาคตของตัวเอง ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยสิบปี มากสุดก็นานถึงร้อยปี หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะรับพิธีกราบอาจารย์จากลูกศิษย์คนนั้น
เด็กสาวผู้หยิ่งทระนงในตัวเองเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนนอก นางจึงลุกขึ้นย้ายตำแหน่งไปนั่งข้างสตรีแต่งงานแล้ว กอดแขนน้ากุ้ยพูดออดอ้อนว่า “ก็จินซู่ยังมีอาจารย์ที่ดีอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ”
น้ากุ้ยใช้นิ้วจิ้มหญิงสาวหนึ่งที เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะมีอาจารย์ที่ดี แต่ข้าน่ะมีลูกศิษย์เกเรที่ไม่เคยทำให้คนอื่นวางใจได้”
หญิงสาวกอดแขนสตรีแต่งงานแล้ว เอียงศีรษะพิงไหล่ของนาง พึมพำถามว่า “อาจารย์ ท่านว่าซุนเจียซู่ชอบข้าหรือไม่?”
น้ากุ้ยไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดแซวว่า “ฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว แต่หัวใจแรกรักยังอยู่”
ใบหน้าจินซู่เต็มไปด้วยความเขินอาย พูดเสียงกระเง้ากระงอด “อาจารย์!”
สตรีแต่งงานแล้วหันมาจ้องใบหน้าของลูกศิษย์นิ่งๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา “แม่นางที่หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ บุรุษจะไม่ชอบได้อย่างไร?”
จินซู่ฟังแล้วชอบใจ
แต่จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นบุรุษที่โดดเด่นแล้ว ซุนเจียซู่ยังเป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าด้วย คือบุรุษที่มีใจทะเยอทะยานอยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับกิจการและวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ที่สำนักการค้าฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเจ้าสองคนผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการจนได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน แต่หากแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อค้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้ามีแต่จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น”
สีหน้าของหญิงสาวหม่นหมอง
สตรีแต่งงานแล้วลูบเส้นผมสีดำขลับของจินซู่อย่างอ่อนโยน “ทัศนียภาพบนมหามรรคาดีงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่การเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเลือกทุกอย่างล้วนถือเป็นการฝึกตนทั้งสิ้น เดิมทีคนมีชีวิตอยู่บนโลกก็ถือเป็นการฝึกบำเพ็ญตนด้วยความยากลำบากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม “อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ชอบคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน? เขาเป็นเด็กดีจะตาย หากเจ้าสามารถชื่นชอบเขาได้จากใจจริง ต่อให้อาจารย์จะไม่เหลือศักดิ์ศรี เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปนับพันปีที่มีกับตระกูลฟ่านจนหมดสิ้นก็จะต้องทำให้พวกเจ้าสองคนได้แต่งงานกันสมใจปรารถนาให้จงได้”
จินซู่ร้องโอ้ยแล้วรีบยืดตัวขึ้นนั่งตรง “อาจารย์ ท่านอย่าได้จับคู่มั่วซั่วเด็ดขาด คุณชายน้อยฟ่านผู้นั้นโง่งมจะตาย ไม่มีมาดน่าเกรงขามของวีรบุรุษแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่ทำเรื่องเหลวไหล หากข้าไปถูกใจเด็กน้อยอย่างเขา นั่นต่างหากถึงเรียกว่าถูกผีบังตามอมเมาจิตใจอย่างแท้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มส่ายหน้า
จินซู่พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ท่านลองมองดูสิ สหายที่ฟ่านเอ้อร์คบหาคนนี้น่าเบื่อแค่ไหน ทึ่มทื่อราวกับตอไม้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เคร่งขรึมตายตัวไปหมด คนแบบนี้ต่อให้ชาติตระกูลดีแค่ไหน ต่อให้ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขามากเพียงไร ความสำเร็จในวันหน้าก็ไม่มีทางสูงไปไหนได้หรอก”
สตรีแต่งงานแล้วทำท่าครุ่นคิด สำหรับเรื่องนี้นางทั้งไม่เห็นด้วยทั้งไม่ปฏิเสธ
……
พอกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง เฉินผิงอันไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจอีกจึงเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
อันที่จริงไม่ต้องออกมาจากห้องผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็สามารถสังเกตเห็นการฝึกท่าหมัดของเฉินผิงอันได้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังผลักประตูเปิดออกมา ยืนชมวิชาหมัดของเฉินผิงอันอย่างเปิดเผย
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา ยังคงฝึกวิชาหมัดเงียบๆ
ก่อนหน้าที่จะนั่งเรือข้ามฟากของแคว้นซูสุ่ย การฝึกหมัดท่าเดินนิ่งของเฉินผิงอันค่อนข้างจะช้า ตอนที่อยู่บนเส้นทางมังกรเดินระยะทางสองแสนลี้ รวมไปถึงตอนอยู่บนเรือข้ามฟากหยางจือถังในช่วงหลัง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยู่ในสภาวะที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูของขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดจึงเน้นที่ความไว หมัดที่นับรวมกันแล้วได้สามแสนครั้งเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็สามารถปล่อยออกไปได้เสร็จสิ้น
ตอนนี้เขาฝ่าคอขวดของขอบเขตสาม เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างแท้จริงแล้ว เฉินผิงอันจึงชะลอความเร็วในการออกหมัดลง
ขอบเขตสามหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือการหลอมลมปราณ ไม่ใช่การฝึกลมปราณของผู้ฝึกตน ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจิต วิญญาณและความกล้าสามอย่างนี้
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนหอไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยพูดว่าขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินผิงอันนี้ ขอแค่ฝ่าขอบเขตไปได้สำเร็จ การหลอมลมปราณหลังจากนั้นก็จะเหมือนควบม้าเดินไปบนเส้นทางที่ราบเรียบ ไร้อุปสรรคขัดขวาง
สำหรับการหล่อหลอมขัดเกลาขอบเขตสี่ เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าว่างเปล่าล่องลอย ไม่เหมือนสามขอบเขตแรกที่เดินเหยียบเต็มฝ่าเท้าได้อย่างมั่นคง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งนัก ไม่รู้ว่าขอบเขตสี่ของตนถือว่าแน่นหนาพอแล้วหรือยัง
ผู้เฒ่าเคยแนะนำว่า ขอบเขตสี่ห้าหกของผู้ฝึกยุทธ์ ทางที่ดีที่สุดควรไปหาโชควาสนาเอาจากซากปรักของสมรภูมิรบโบราณ ลมเยียบเย็น กลิ่นอายชั่วร้าย พายุหมุนที่รุนแรง และลมปราณวุ่นวายที่มีต้นกำเนิดซับซ้อนยุ่งเหยิงล้วนเป็นของดีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะนำมาใช้หล่อหลอมจิตวิญญาณของตัวเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่าทนความลำบากอยู่ดี
นี่คือการต่อสู้กับฟ้าดิน
ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมลดระดับมาเอาสิ่งที่ดีรองลงมา นี่คือวิธีการเข่นฆ่าในสนามรบ เมื่ออยู่ในสมรภูมิ ยิ่งเป็นการต่อสู้นองเลือดเสี่ยงตายมากแค่ไหน ก็ยิ่งสามารถสัมผัสกับคำว่า ‘คนทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู’ ได้มากเท่านั้น
รองลงมาอีกถึงจะเป็นการเข่นฆ่าไล่ล่าในยุทธภพ เอาปรมาจารย์ในยุทธภพหรือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาเป็นหินลับดาบ ขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของตน
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียนอัดแน่นเต็มฟ้าดินอย่างกำเริบเสิบสาน ผลักไสผู้ฝึกลมปราณทุกประเภทยกเว้นผู้ฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อกำเนิด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเลย ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธ์กี่มากน้อยที่ประมาณตนไม่ดีพอ หรือไม่ความสามารถของผู้ปกป้องมรรคาก็ไม่สูงมากพอ ด้วยความละโมบหวังให้ขอบเขตทะยานขึ้นสูงจึงพาตัวไปตายอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้เรียกร้องให้เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่เสียก่อนถึงจะไปที่ภูเขาห้อยหัว ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแห่งนั้น จากนั้นค่อยเดินลงมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันต้องอยู่บนกำแพงเมืองนานเท่าไหร่ ต้องกะประมาณความพอดีสักแค่ไหน พยายามปีนขึ้นไปบนหัวกำแพงให้ได้กี่รอบ ผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์
สายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้ามองแต่ที่สูง เมื่อร้อยปีก่อนเขาก็เลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบแล้ว ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องมองไปแต่จุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น
เป็นเหตุให้คำพูดที่ ‘พระวิสุทธิ์จารย์’ บนวิถีวรยุทธ์ต้องเน้นย้ำอยู่หลายรอบ ผู้เฒ่ากลับไม่เคยพูดกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว
ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาหลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามสี่ และขอบเขตหกเจ็ดที่เขาไม่เคยเอ่ยถึงแม้เพียงครึ่งคำ
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้าก็เป็นแค่หนึ่งในคนเหล่านั้นเท่านั้น
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เกิดความคิดประหลาด เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่อยากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในหล้าหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินนิ่งหกก้าวรอบหนึ่งจบจึงพลิกตัวหมุนกลับแล้วออกหมัดไม่หยุด แต่ปากก็ตอบคำถามว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
ผู้เฒ่าจึงได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มที่สามารถอาศัยเส้นสายมาขอให้ตนช่วยประลองกระบี่ด้วยคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนในลำดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีป จิตใจจึงทะเยอทะยาน อีกทั้งยังมีความเป็นเด็กหนุ่ม จึงไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ฉุกละหุกเกินไป เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและปณิธานเช่นนี้ ไม่น่ารังเกียจ
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่า
เด็กหนุ่มที่ฝึกวิชาหมัดอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ท่าหมัดที่หยาบๆ ท่านี้ เขาต้องฝึกมาแล้วหลายแสนครั้ง
……
ท่ามกลางแสงสนธยา เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาที่ก่อนหน้านี้ถูกเกาะใหญ่ยักษ์บดบังค่อยๆ ออกเดินทาง หากมีคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองของนครมังกรเฒ่าแล้วทอดสายตามองมาไกลๆ ก็จะเห็นถึงโครงร่างที่ใหญ่มโหฬารของเรือข้ามฟากลำนี้
แน่นอนว่าหากยืนอยู่บนเกาะที่ตั้งโดดเดี่ยวกลางทะเลแห่งนั้นก็จะยิ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เหมือนกับที่ซุนเจียซู่เจ้าประมุขของตระกูลซุนกำลังทำอยู่
ออกจากนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ ซุนเจียซู่ไม่ได้บอกให้ข้ารับใช้ของตระกูลติดตามมาด้วย เพราะข้างกายเขามีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มจากสวนลมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง หลิวป้าเฉียว
หลิวป้าเฉียวที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะรีบเร่งเดินทางมายังนครมังกรเฒ่า เวลานี้นั่งยองอยู่บนระเบียงของศาลาชมวิวบนเกาะ ทอดสายตามองไกลไปยังเกาะกุ้ยฮวา ท่าทางของเขาเหนื่อยล้าและเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด เหนื่อยล้าเพราะเร่งขี่กระบี่ลงใต้มาตลอดทาง ร่างกายและจิตใจจึงอ่อนเพลียอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนความเซื่องซึมบนใบหน้าก็เพราะความคิดนับร้อยกำลังประดังประเดเข้าหากัน ความอัดอั้นขุมหนึ่งแล่นจากท้องขึ้นมาจุกที่ลำคอ อยากจะพ่นออกมา อยากจะระบายมันออกมา แต่ก็กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจของเพื่อน
ซุนเจียซู่เอ่ยเบาๆ “ทำไมไม่ไปอธิบายกับเขาที่เกาะกุ้ยฮวา?”
ต่อให้หลิวป้าเฉียวจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่ตลอดทางมานี้เขาเดินทางออกจากสวนลมฟ้าอย่างรีบร้อน ขี่กระบี่มาไกลถึงขนาดนี้ ริมฝีปากจึงแห้งผากอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขายื่นมือมาเช็ดหน้า ส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าหรือจะมีหน้าไปพบเฉินผิงอัน”
ซุนเจียซู่เอนตัวพิงเสาศาลา นั่งอยู่ข้างกายหลิวป้าเฉียว ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ครั้งนี้ข้าผิดต่อเจ้า”
หลิวป้าเฉียวโบกมือ “โกรธก็ส่วนโกรธ แต่เหตุผลก็ส่วนเหตุผล เฉินผิงอันเป็นแค่สหายของข้าหลิวป้าเฉียว ไม่ได้เท่ากับว่าจะต้องเป็นสหายของเจ้าซุนเจียซู่ด้วย ข้าเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเฉินผิงอันจะมีความลับซุกซ่อนไว้มากมายขนาดนั้น ขนาดเจ้าซุนเจียซู่ยังถูกทรัพย์สินล่อลวงใจอย่างอดไม่ได้ อันที่จริงหากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วนี่คือความผิดของข้า เป็นข้าที่ประเมินความสามารถของสหายอย่างเจ้าต่ำไป ซุนเจียซู่ เจ้าเองก็อย่ารู้สึกละอายใจเพราะข้าพูดเช่นนี้ ไม่มีความจำเป็น แล้วก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นด้วย”
—–
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!