กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจหนึ่งที คิดจะรับลูกศิษย์ ‘ที่น่าภาคภูมิใจ’ สมใจตนสักคนนั้นยากเพียงใด คิดจะให้ลูกศิษย์ฝ่าทะลุขอบเขต เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวก็ยิ่งยากเข้าไปอีก ดังนั้นในเรื่องการรับลูกศิษย์ของตระกูลเซียนบนภูเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญอีกที เป็นรองแค่การพิสูจน์ความเป็นอมตะบนมรรคาของตัวเองเท่านั้น เซียนพสุธาขอบเขตสิบคนหนึ่งกับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่นางรู้จัก เพื่อพิสูจน์สภาพจิตใจของลูกศิษย์ในอนาคตของตัวเอง ต้องเสียเวลาไปอย่างน้อยสิบปี มากสุดก็นานถึงร้อยปี หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงจะรับพิธีกราบอาจารย์จากลูกศิษย์คนนั้น
เด็กสาวผู้หยิ่งทระนงในตัวเองเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนนอก นางจึงลุกขึ้นย้ายตำแหน่งไปนั่งข้างสตรีแต่งงานแล้ว กอดแขนน้ากุ้ยพูดออดอ้อนว่า “ก็จินซู่ยังมีอาจารย์ที่ดีอยู่อีกคนไม่ใช่หรือ”
น้ากุ้ยใช้นิ้วจิ้มหญิงสาวหนึ่งที เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะมีอาจารย์ที่ดี แต่ข้าน่ะมีลูกศิษย์เกเรที่ไม่เคยทำให้คนอื่นวางใจได้”
หญิงสาวกอดแขนสตรีแต่งงานแล้ว เอียงศีรษะพิงไหล่ของนาง พึมพำถามว่า “อาจารย์ ท่านว่าซุนเจียซู่ชอบข้าหรือไม่?”
น้ากุ้ยไม่ได้ตอบคำถาม แต่พูดแซวว่า “ฤดูใบไม้ผลิจากไปแล้ว แต่หัวใจแรกรักยังอยู่”
ใบหน้าจินซู่เต็มไปด้วยความเขินอาย พูดเสียงกระเง้ากระงอด “อาจารย์!”
สตรีแต่งงานแล้วหันมาจ้องใบหน้าของลูกศิษย์นิ่งๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเมตตา “แม่นางที่หน้าตางดงามถึงเพียงนี้ บุรุษจะไม่ชอบได้อย่างไร?”
จินซู่ฟังแล้วชอบใจ
แต่จากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถอนหายใจ “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า นอกจากจะเป็นบุรุษที่โดดเด่นแล้ว ซุนเจียซู่ยังเป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่าด้วย คือบุรุษที่มีใจทะเยอทะยานอยากสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับกิจการและวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์ที่สำนักการค้าฝากความหวังยิ่งใหญ่เอาไว้ ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเจ้าสองคนผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการจนได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน แต่หากแต่งงานเป็นภรรยาของพ่อค้า เส้นทางการฝึกตนของเจ้ามีแต่จะยากลำบากมากยิ่งขึ้น”
สีหน้าของหญิงสาวหม่นหมอง
สตรีแต่งงานแล้วลูบเส้นผมสีดำขลับของจินซู่อย่างอ่อนโยน “ทัศนียภาพบนมหามรรคาดีงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่การเดินไปบนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การเลือกทุกอย่างล้วนถือเป็นการฝึกตนทั้งสิ้น เดิมทีคนมีชีวิตอยู่บนโลกก็ถือเป็นการฝึกบำเพ็ญตนด้วยความยากลำบากอย่างหนึ่งอยู่แล้ว”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม “อาจารย์ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเจ้าถึงไม่ชอบคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน? เขาเป็นเด็กดีจะตาย หากเจ้าสามารถชื่นชอบเขาได้จากใจจริง ต่อให้อาจารย์จะไม่เหลือศักดิ์ศรี เผาผลาญความสัมพันธ์ควันธูปนับพันปีที่มีกับตระกูลฟ่านจนหมดสิ้นก็จะต้องทำให้พวกเจ้าสองคนได้แต่งงานกันสมใจปรารถนาให้จงได้”
จินซู่ร้องโอ้ยแล้วรีบยืดตัวขึ้นนั่งตรง “อาจารย์ ท่านอย่าได้จับคู่มั่วซั่วเด็ดขาด คุณชายน้อยฟ่านผู้นั้นโง่งมจะตาย ไม่มีมาดน่าเกรงขามของวีรบุรุษแม้แต่น้อย วันๆ เอาแต่ทำเรื่องเหลวไหล หากข้าไปถูกใจเด็กน้อยอย่างเขา นั่นต่างหากถึงเรียกว่าถูกผีบังตามอมเมาจิตใจอย่างแท้จริง”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มส่ายหน้า
จินซู่พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ท่านลองมองดูสิ สหายที่ฟ่านเอ้อร์คบหาคนนี้น่าเบื่อแค่ไหน ทึ่มทื่อราวกับตอไม้ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เคร่งขรึมตายตัวไปหมด คนแบบนี้ต่อให้ชาติตระกูลดีแค่ไหน ต่อให้ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญต่อเขามากเพียงไร ความสำเร็จในวันหน้าก็ไม่มีทางสูงไปไหนได้หรอก”
สตรีแต่งงานแล้วทำท่าครุ่นคิด สำหรับเรื่องนี้นางทั้งไม่เห็นด้วยทั้งไม่ปฏิเสธ
……
พอกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง เฉินผิงอันไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลใจอีกจึงเริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน
อันที่จริงไม่ต้องออกมาจากห้องผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็สามารถสังเกตเห็นการฝึกท่าหมัดของเฉินผิงอันได้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังผลักประตูเปิดออกมา ยืนชมวิชาหมัดของเฉินผิงอันอย่างเปิดเผย
เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือสา ยังคงฝึกวิชาหมัดเงียบๆ
ก่อนหน้าที่จะนั่งเรือข้ามฟากของแคว้นซูสุ่ย การฝึกหมัดท่าเดินนิ่งของเฉินผิงอันค่อนข้างจะช้า ตอนที่อยู่บนเส้นทางมังกรเดินระยะทางสองแสนลี้ รวมไปถึงตอนอยู่บนเรือข้ามฟากหยางจือถังในช่วงหลัง ตอนนั้นเฉินผิงอันอยู่ในสภาวะที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบเข้าไปในธรณีประตูของขอบเขตสี่แล้ว การออกหมัดจึงเน้นที่ความไว หมัดที่นับรวมกันแล้วได้สามแสนครั้งเหมือนว่าเพียงชั่วพริบตาก็สามารถปล่อยออกไปได้เสร็จสิ้น
ตอนนี้เขาฝ่าคอขวดของขอบเขตสาม เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างแท้จริงแล้ว เฉินผิงอันจึงชะลอความเร็วในการออกหมัดลง
ขอบเขตสามหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือการหลอมลมปราณ ไม่ใช่การฝึกลมปราณของผู้ฝึกตน ซึ่งต้องทุ่มเทเวลาให้กับการจิต วิญญาณและความกล้าสามอย่างนี้
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนหอไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยพูดว่าขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดของเฉินผิงอันนี้ ขอแค่ฝ่าขอบเขตไปได้สำเร็จ การหลอมลมปราณหลังจากนั้นก็จะเหมือนควบม้าเดินไปบนเส้นทางที่ราบเรียบ ไร้อุปสรรคขัดขวาง
สำหรับการหล่อหลอมขัดเกลาขอบเขตสี่ เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าว่างเปล่าล่องลอย ไม่เหมือนสามขอบเขตแรกที่เดินเหยียบเต็มฝ่าเท้าได้อย่างมั่นคง
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่อาจสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งนัก ไม่รู้ว่าขอบเขตสี่ของตนถือว่าแน่นหนาพอแล้วหรือยัง
ผู้เฒ่าเคยแนะนำว่า ขอบเขตสี่ห้าหกของผู้ฝึกยุทธ์ ทางที่ดีที่สุดควรไปหาโชควาสนาเอาจากซากปรักของสมรภูมิรบโบราณ ลมเยียบเย็น กลิ่นอายชั่วร้าย พายุหมุนที่รุนแรง และลมปราณวุ่นวายที่มีต้นกำเนิดซับซ้อนยุ่งเหยิงล้วนเป็นของดีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะนำมาใช้หล่อหลอมจิตวิญญาณของตัวเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังคงเป็นคำว่าทนความลำบากอยู่ดี
นี่คือการต่อสู้กับฟ้าดิน
ไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยอมลดระดับมาเอาสิ่งที่ดีรองลงมา นี่คือวิธีการเข่นฆ่าในสนามรบ เมื่ออยู่ในสมรภูมิ ยิ่งเป็นการต่อสู้นองเลือดเสี่ยงตายมากแค่ไหน ก็ยิ่งสามารถสัมผัสกับคำว่า ‘คนทั้งโลกล้วนเป็นศัตรู’ ได้มากเท่านั้น
รองลงมาอีกถึงจะเป็นการเข่นฆ่าไล่ล่าในยุทธภพ เอาปรมาจารย์ในยุทธภพหรือผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางมาเป็นหินลับดาบ ขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์ของตน
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นมีปราณกระบี่ตวัดฉวัดเฉวียนอัดแน่นเต็มฟ้าดินอย่างกำเริบเสิบสาน ผลักไสผู้ฝึกลมปราณทุกประเภทยกเว้นผู้ฝึกกระบี่มาตั้งแต่ก่อกำเนิด นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเลย ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกยุทธ์กี่มากน้อยที่ประมาณตนไม่ดีพอ หรือไม่ความสามารถของผู้ปกป้องมรรคาก็ไม่สูงมากพอ ด้วยความละโมบหวังให้ขอบเขตทะยานขึ้นสูงจึงพาตัวไปตายอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้เรียกร้องให้เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่เสียก่อนถึงจะไปที่ภูเขาห้อยหัว ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแห่งนั้น จากนั้นค่อยเดินลงมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วนข้อที่ว่าเฉินผิงอันต้องอยู่บนกำแพงเมืองนานเท่าไหร่ ต้องกะประมาณความพอดีสักแค่ไหน พยายามปีนขึ้นไปบนหัวกำแพงให้ได้กี่รอบ ผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเขารู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์
สายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้ามองแต่ที่สูง เมื่อร้อยปีก่อนเขาก็เลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบแล้ว ดังนั้นสายตาของเขาจึงจับจ้องมองไปแต่จุดที่สูงที่สุดของใต้หล้าไพศาลเท่านั้น
เป็นเหตุให้คำพูดที่ ‘พระวิสุทธิ์จารย์’ บนวิถีวรยุทธ์ต้องเน้นย้ำอยู่หลายรอบ ผู้เฒ่ากลับไม่เคยพูดกับเฉินผิงอันแม้แต่คำเดียว
ยกตัวอย่างเช่นโชควาสนาหลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามสี่ และขอบเขตหกเจ็ดที่เขาไม่เคยเอ่ยถึงแม้เพียงครึ่งคำ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!