หลิวป้าเฉียวส่ายหน้า “ไม่ใช่ เจ้าคิดมากไปแล้ว”
หลิวป้าเฉียวกระตุกมุมปากยกยิ้ม “จริงๆ นะ”
ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม “ครั้งนี้เจ้าหลอกต้มข้าเสียจนเปื่อย จะถือว่าเดิมทีใจข้าอยากใฝ่หาดวงจันทร์ แต่จนใจที่ดวงจันทร์ส่องสว่างร่องลึกได้หรือไม่?” (เปรียบเปรยว่าปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความหวังดี แต่คนอื่นกลับไม่รับน้ำใจ ไม่แยแส)
หลิวป้าเฉียวยังคงทอดสายตามองไปทิศไกล ยิ้มกว้างพูดว่า “เปรี้ยวนัก (อีกความหมายหนึ่งคือเจ็บแสบ) เปรี้ยวยิ่งกว่าผักดองของเฉินผิงอันเสียอีก”
ซุนเจียซู่คลี่ยิ้ม แต่ในใจกลับถอนหายใจ
คนทั้งสองคนลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับนครมังกรเฒ่า ซุนเจียซู่พาหลิวป้าเฉียวไปพักที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน
นับตั้งแต่ที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก บุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนที่เป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทรท่านนั้นก็ชื่นชอบหลิวป้าเฉียวเด็กรุ่นหลังผู้มีพรสวรรค์ของสวมลมฟ้าเป็นที่สุด
ในฐานะเซียนพสุธา ทุกวันนี้น้อยครั้งที่ผู้เฒ่าจะกินอาหาร ทว่าวันนี้เขากลับมานั่งร่วมโต๊ะกินอาหารมื้อดึกกับคนหนุ่มสองคน อาหารบนโต๊ะทุกจานล้วนเป็นอาหารที่หลิวป้าเฉียวชอบกิน
หลิวป้าเฉียวคุยเล่นหยอกล้อกับบุรพาจารย์ตระกูลซุนไม่ต่างจากในอดีต คุยโวโอ้อวดได้โดยไม่มีความเขินอาย แถมยังเปิดเผยเรื่องน่าอายและข้อเสียของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง ทำเอาผู้เฒ่าที่ถูกหยอกหัวเราะฮ่าๆ อย่างมีความสุข
หลิวป้าเฉียวยังต้องรีบกลับไปที่สวนลมฟ้า กินข้าวเสร็จก็ห้อยเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆชิ้นนั้นแล้วขี่กระบี่จากไปทันที
ซุนเจียซู่ถือคันเบ็ดตกปลาอยู่ริมตลิ่งเงียบๆ ท่ามกลางม่านราตรี
กลางดึก จู่ๆ ซุนเจียซู่ก็เงยหน้ามองไปด้านบน
หลิวป้าเฉียวขี่กระบี่กลับมาที่นี่ พอพลิ้วกายลงด้านหลังซุนเจียซู่แล้วก็ถีบเจ้าประมุขตระกูลซุนคนนี้ร่วงลงไปในแม่น้ำ
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้าก็ไม่พูดไม่จา ขี่กระบี่มุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปอีกครั้ง
ซุนเจียซู่เดินกลับขึ้นฝั่งด้วยสภาพเหมือนไก่ตกน้ำ แต่เขากลับยิ้มอารมณ์ดี
บรรพบุรุษตระกูลซุนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ กล่าวด้วยเจตนาอันดีว่า “ชีวิตนี้ของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นอายุหกสิบปี ร้อยปีหรือพันปี ได้มีสหายอย่างหลิวป้าเฉียวสักคนก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งแล้ว ต้องรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าเขาให้มาก”
ซุนเจียซู่ปาดน้ำบนใบหน้าออก พูดยิ้มๆ ว่า “ข้าก็เพิ่งเข้าใจวันนี้แหละ ท่านบรรพบุรุษ วันหน้าขอให้ข้าทำตามใจตัวเองสักครั้ง ทำเรื่องที่ซุนเจียซู่สมควรทำ แต่ใช้สถานะของเจ้าประมุขตระกูลซุนได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าตอบรับอย่างไม่ลังเล “เหล่าบรรพบุรุษตระกูลซุนล้วนยินดีที่จะได้เห็น”
ซุนเจียซู่พลันหันมาโค้งคำนับผู้เฒ่า “ขอบพระคุณท่านบรรพบุรุษที่เมตตา!”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ลุกขึ้น! ทำอะไรไม่เข้าท่า! เจ้าเด็กตัวเหม็น ตอนนี้เจ้าต่างหากที่เป็นประมุขตระกูล!”
ซุนเจียซู่หิ้วคันเบ็ดและข้องใส่ปลาเดินเร็วๆ กลับไปที่บ้านบรรพบุรุษ แล้วก็ออกจากบ้านบรรพบุรุษตั้งแต่คืนนั้นเพื่อเข้าไปจัดการธุระในจวนตระกูลซุนที่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นใน
หลังจากซุนเจียซู่จากไปได้ไม่นาน ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของตระกูลซุนก็มาหาบรรพบุรุษตระกูลซุน พูดด้วยรอยยิ้มอย่างตรงไปตรงมาว่า “ตระกูลซุนมีเจ้าประมุขเช่นนี้ ข้ายินดีจะต่อสัญญากับตระกูลซุนไปอีกร้อยปี”
ผู้เฒ่าตอบรับพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง
สุดท้ายผู้เฒ่าเดินไปที่ศาลบรรพชนเพียงลำพัง จุดธูปสามดอกเงียบๆ
……
ร้านยาฮุยเฉิน
ในเมื่อไม่ต้องไปรับโทษที่ศาลบรรพชน ฟ่านเอ้อร์จึงมาคุยเล่นกับอาจารย์เจิ้งอย่างเปิดเผย
ตอนที่เด็กหนุ่มมาเยือนถึงหน้าประตู ชายฉกรรจ์กำลังนอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน หยอกเย้าสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งในร้านที่มีหุ่นอวบอัดอุดมสมบูรณ์ ถามนางว่าบุรุษบ้านนางที่ทำงานเป็นสารถี ยุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น กลับมาถึงบ้านยังมีเรี่ยวแรงเหลือหรือไม่ สตรีแต่งงานแล้วคุ้นเคยกับนิสัยนี้ของชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ร้านนานแล้ว จึงตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหวานว่า เตียงที่บ้านข้าต้องหาช่างไม้มาซ่อมตั้งหลายรอบแล้ว
ฟ่านเอ้อร์ที่ได้ยินประโยคนี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สตรีแต่งงานแล้วเขินอายเล็กน้อย ถึงอย่างไรการที่ตนพูดคุยต่อล้อต่อเถียงกับเถ้าแก่ร้านอย่างส่งเดชก็เป็นแค่การพูดเล่นหาเรื่องแก้เหงาเท่านั้น หากอยู่ต่อหน้าคนนอก นางไม่กล้าทำตัวเปิดเผยถึงขนาดนั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่ยอมปล่อยสตรีแต่งงานแล้วไปง่ายๆ เขาหันไปพูดกับฟ่านเอ้อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “วันหน้าหากบ้านเจ้าต้องการหาช่างไม้ไปช่วยซ่อมเตียงให้ล่ะก็ มาขอให้พี่สาวคนนี้ช่วยแนะนำคนรู้จักให้ได้นะ”
ฟ่านเอ้อร์ร้องอ้อรับหนึ่งที
จากนั้นในร้านก็เกิดเสียงโจมตีดังสนั่น บางคนบอกว่าจะไปหาเข็มกับด้ายมาเย็บปากเถ้าแก่ร้าน บางคนขู่ว่าต่อให้จ่ายเงินก็ไม่ทำอาหารให้แล้ว เจิ้งต้าเฟิงแค่เจ็บๆ คันๆ ฟังแล้วจั๊กจี้หูเท่านั้น เขาพาเด็กหนุ่มเดินไปที่เรือนหลังทั้งที่ยังหัวเราะร่า ก่อนที่คนทั้งสองจะนั่งลง ฟ่านเอ้อร์ก็ไปหากระบอกยาสูบแล้วใส่ยาเตรียมไว้ให้เจิ้งต้าเฟิงเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายหลังพ่นควันออกมาเป็นวง พอนึกถึงว่าในที่สุดเจ้าเด็กนั่นก็ไสหัวออกไปจากนครมังกรเฒ่าเสียที เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีจริงๆ
ฟ่านเอ้อร์นั่งลงบนม้านั่งตัวเล็ก ถามว่า “อาจารย์เจิ้ง งานแต่งตระกูลฝู ท่านจะไปหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเจ้าบ่าวที่ต้องเข้าหอคือข้า ข้าก็จะไป”
ฟ่านเอ้อร์พูดเสียงค่อย “ได้ยินมาว่าว่าที่ภรรยาของฝูหนันหัวหน้าตา…ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “บุตรสาวสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลินจะไม่สวยได้หรือ? หากมาเป็นภรรยาของข้า ข้าผู้อาวุโสจะไม่ลงจากเตียงเลยคอยดู!”
ฟ่านเอ้อร์ไร้คำพูดโต้ตอบ
อาจารย์เจิ้งไม่ว่าอะไรก็ดีหมด แต่เป็นคนพูดจาโผงผางเหมือนขวานผ่าซากแบบนี้ ทำเอาเขารับไม่ค่อยไหวสักเท่าไหร่
หากพูดถึงแค่เรื่องคุยเล่นกับคนอื่น ยังคงเป็นเฉินผิงอันที่คุยสนุกกว่า
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “เฉินผิงอันเห็นเจ้าเป็นเพื่อนแล้วรึ?”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก!”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าพ่นควันกลุ่มใหญ่ สีหน้าคลุมเครือ “คนโง่มีโชคของคนโง่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!