เทพหยินที่มาจากศาลเล็กตนนั้นค่อยๆ ปรากฏตัวด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เจิ้งต้าเฟิงดึงสายตากลับมา ถามยิ้มๆ ว่า “เหล่าจ้าว ไม่ว่าข้าจะถามอะไร เจ้าก็จะไม่ตอบใช่หรือไม่?”
เทพหยินส่ายหน้า “เกี่ยวกับฟ่านจวิ้นเม่าผู้นี้ ข้าไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเจ้า แต่ว่าตอนนั้นที่อยู่ในศาลเล็ก ได้ยินเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ตายไปแล้วท่านหนึ่งเคยพูดถึงข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องจริง”
เจิ้งต้าเฟิงพลันบังเกิดความสนใจ “ไหนลองเล่ามาสิ ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว…”
เทพหยินหัวเราะเสียงหยัน “เจ้าน่ะไม่มีอะไรทำ แต่ข้ายุ่งนักล่ะ งานสนเข็มร้อยด้าย (เปรียบเปรยถึงการเป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานงาน) ไม่ได้เบาไปกว่าการรบราฆ่าฟันเลย อ้อ ไม่ถูกสิ ทุกวันนี้เจ้ายุ่งมาก ยุ่งอยู่กับการพูดจาแทะโลมพวกหญิงชาวบ้านร้านตลาด วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ อันที่จริงเจ้าควรไปที่สำนักศึกษากวานหูได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ “เหล่าจ้าวเอ๋ย คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนฟังพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ พวกเราสองคนได้มาร่วมมือกัน ถือเป็นบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่เชียวนะ”
เทพหยินเถียงกลับ “เป็นกรรมสัมพันธ์มากกว่า”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า ยื่นนิ้วชี้ไปที่ทะเลเมฆ “นางกับข้าต่างหากที่เป็นกรรมสัมพันธ์ พวกเราสองคนนี่เรียกว่าบุญสัมพันธ์”
ก่อนหน้าที่ฟ่านจวิ้นเม่าจะเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็ถอยไปเองก่อนแล้ว นี่เป็นทั้งมารยาทอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง แต่ก็มองออกว่าทั้งสองคงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก อีกทั้งการเลื่อนขั้นอย่างรุดหน้าของบุตรีสายตรงตระกูลฟ่านผู้นั้น นับตั้งแต่ขอบเขตถ้ำสถิตตอนที่ฟ่านเจิ้งสองคนได้พบกันครั้งแรก ไปจนถึงการเดินทางกลับจากต้าหลีมายังนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านยาขนาดเล็ก นางก็เป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว ความเร็วในการไต่ทะยานแบบนี้ไม่ใช่แค่คำว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนจะอธิบายได้ นี่มันน่าตะลึงเกินไป เทพหยินแซ่จ้าวอดนึกถึงเด็กสาวบางคนที่เติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ พรสวรรค์ในการฝึกตนบนภูเขาที่ทำให้คนริษยา บางทีอาจสู้สี่คำที่บางเบาล่องลอยว่า ‘เกิดมาก็เข้าใจ’ ไม่ได้
แม้แต่เทพเซียนก็ยังต้องตกตะลึงใช่ไหมล่ะ?
เทพหยินท่านนี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจหนึ่งที
ยังดีที่คนประเภทนี้ ต่อให้นับรวมทั่วห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทรและเก้าทวีปใหญ่แล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้
เจิ้งต้าเฟิงส่งเสียงเตือน “เฮ้ๆๆ เหล่าจ้าว ตื่นๆๆ มัวเหม่ออะไรอยู่ เล่าเรื่องเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ต้องมาตายอนาถอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูคนนั้นต่อสิ เกี่ยวกับทะเลเมฆวัตถุกึ่งเซียนชิ้นนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไงกันแน่?”
เทพหยินกล่าว “ไม่อยากเล่า ข้ายังมีธุระต้องทำ”
แล้วเขาก็หายตัวไปทั้งอย่างนั้น
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าอึ้งค้าง จากนั้นก็พูดเสียงขุ่น “ทวดเจ้าสิ!”
เสียแรงที่ข้าเห็นดีในตัวจ้าวเหยาที่แซ่จ้าวเหมือนเจ้า
ม่านไม้ไผ่ถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าแฉล้มงดงามของเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็คือเด็กสาวที่ชอบนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงนั่นเอง นางยิ้มตาหยีพูดว่า “เถ้าแก่ ท่านจะนับข้าเป็นผู้อาวุโสของท่านหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเก็บกระบอกสูบยาอันเก่า ลุกขึ้นยืนถูมือแล้ววิ่งไปหาเด็กสาว “เป็นผู้อาวุโสอะไรกัน แบบนั้นมันห่างเหินกันเกินไป”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ “เป็นญาติแล้วยังจะห่างเหินอีกหรือ ถ้างั้นต้องเป็นอะไรถึงจะไม่ห่างเหิน?”
เจิ้งต้าเฟิงทำท่าจะโอบไหล่เด็กสาว เด็กสาวค้อมตัวลงถอยหลังไปสองก้าว หัวเราะจนตาหยี “ทำไม จะสู่ขอข้างั้นหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง “เป็นพี่ชายน้องสาว พี่ชายน้องสาว สามีภรรยาต้องเคารพกันเหมือนแขก ก็ยังห่างเหินอยู่ดี”
ชายฉกรรจ์ไปนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน มองหญิงสาวที่มีความงามหลากหลายซึ่งอยู่กันเต็มร้าน “ทัศนียภาพฤดูใบไม้ผลิที่เบ่งบานอยู่เต็มสวนต้องปกปิดเอาไว้ให้ดีจริงๆ”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็พูดยิ้มๆ ว่า “มอบทองพันชั่ง ไม่สู้สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง ไม่สู้มอบชื่อที่ดีให้ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้ พี่สาวน้องสาวทั้งหลายเคยได้ยินหรือไม่?”
มีเพียงเด็กสาวที่ถูกเจิ้งต้าเฟิงขโมยหนังสือไปเท่านั้นที่อ่านหนังสือออก แต่นางไม่อยากสนใจเจิ้งต้าเฟิง และตอนหลังเถ้าแก่หน้าด้านก็ยังมายืมหนังสือเล่มนั้นไปจากนางอีก แถมยืมไปแล้วยังไม่คิดจะเอามาคืน เป็นถึงเถ้าแก่ร้านยา มาหลอกเอาเงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะจากลูกจ้างร้าน ไม่รู้จักอายเสียบ้าง ล่าสุดชายฉกรรจ์บอกว่าทำหายไปแล้ว ทำเอานางโมโหหยิบไม้กวาดขึ้นทุบตีอีกฝ่าย ชายฉกรรจ์จึงได้แต่บอกว่าเดี๋ยวจะคิดเงินค่าหนังสือรวมกับเงินเดือนของนางในเดือนถัดไป คำนวณตามเงินหนึ่งร้อยอีแปะ เด็กสาวถึงได้ยอมเลิกรา ถึงอย่างไรหนังสือเล่มนั้นนางก็อ่านจบแล้ว อยู่ในบ้านก็ถูกวางไว้เฉยๆ แล้วถ้าพ่อแม่ที่ลำเอียงรักแต่น้องชายมาเห็นเข้า ไม่แน่ว่าอาจด่าที่นางเอาเงินไปล้างผลาญก็เป็นได้
ชายฉกรรจ์เห็นว่าไม่มีคนส่งเสียงตอบรับจึงได้แต่ปล่อยท่าไม้ตาย “พวกเจ้าอยากรู้ไหมว่าเจ้าเด็กตระกูลฟ่านที่มาร้านพวกเราบ่อยๆ ชื่ออะไร?”
ผู้หญิงทุกคนพากันหันมามองชายฉกรรจ์
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชื่อว่าฟ่านเอ้อร์ เอ้อร์จากอีเอ้อร์ซาน หนึ่งสองสามไงล่ะ ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเด็กนั่นมากเลยใช่ไหม?”
ไม่มีใครคิดจะเชื่อ ได้แต่คิดว่าเถ้าแก่จงใจปั่นหัวพวกนาง
เจิ้งต้าเฟิงไม่พูดถึงฟ่านเอ้อร์อีก พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กตระกูลฟ่านเรียนวรยุทธ์ วันหน้ายังต้องใช้สถานะของบุตรอนุภรรยาสืบทอดกิจการของวงศ์ตระกูล ส่วนพี่สาวของเขา ชื่อของผู้หญิงคนนี้ตั้งได้ไม่เลว หยั่งรากลึกล้ำ ร่มใบรกครึ้ม ตระกูลฟ่าน…ค่อนข้างจะพิถีพิถันไม่น้อย”
เจิ้งต้าเฟิงแนบซีกหน้าข้างหนึ่งไว้บนผิวโต๊ะ มองไม่ยังตรอกเล็กนอกร้านยา อีกไม่นานลมมรสุมก็คงจะพัดมาสินะ
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินกำลังจะแต่งเข้าตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า
สินสอดมากมายเกินกว่าใครจะคาดการณ์ได้ถึง
แค่ไม่รู้ว่าตระกูลฝูจะใช้ข้ออ้างอะไรมาเปิดฉากลมคาวฝนเลือดในครั้งนี้ สุดท้ายจะฮุบกลืนนครมังกรเฒ่าเพียงลำพัง หรือจะเป็นสองตระกูลที่ได้ครอบครอง
เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้ม เรื่องสกปรกพวกนี้เกี่ยวอะไรกับข้าผู้อาวุโสด้วย
เขาชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่ง ในใจคิดว่าหรือตนควรจะควักเงินเล็กๆ น้อยๆ ซื้อชุดกระโปรงที่ทั้งดูแพงและแนบเนื้อมามอบให้พวกนางสักหน่อย? ช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนขนาดนี้ แค่เหงื่อออกเล็กน้อยก็เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัดแล้ว คงจะงดงามเพลินตาไม่หยอก เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะคิกๆ พลางยกมือปาดน้ำลาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!