เด็กหนุ่มยู่หน้า ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อประหลาดกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะร้องไห้อย่างนั้นรึ? ทำไมนิสัยเหมือนเสี่ยวฉีอย่างนี้ มิน่าเล่าเขาถึงได้เลือกเจ้า ใช้วิธีพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ผล แถมยังต่อยตีสู้คนอื่นไม่ได้ ทุกครั้งเอาแต่ไปหลบร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ตวาดเสียงเฉียบ “เงยหน้าขึ้นมา!”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย
บุรุษซักถาม “ทำไมพอถึงเวลาคับขันถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ออกกระบี่แต่ออกหมัดแทน? ตอบมาดังๆ อย่าอึกๆ อักๆ!”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบไปตามจิตใต้สำนึก “เวทกระบี่แย่เกินไป ไม่อยากขายหน้า! วิชาหมัดพอใช้ได้ ไม่ออกหมัดไม่สาแก่ใจ!”
“ถุย! ด้วยปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าก็กล้าพูดว่าพอใช้ได้ด้วยหรือ?”
บุรุษมีสีหน้าเดือดดาล หันไปถ่มน้ำลายลงด้านข้างอย่างแรง ไม่มีทั้งความสง่างามเหมือนอย่างฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่มีทั้งความอ่อนโยนเหมือนอาเหลียง ดูๆ ไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อจั่วโย่วคนนี้คงจะเป็นลูกศิษย์ที่นอกคอกที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ไม่เหมือนบัณฑิตเลยสักนิด เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของบุรุษซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ยิ่งนานรอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเข้มข้น เพียงแต่พอหันหน้ามาสีหน้ากลับเย็นชา เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ชูนิ้วโป้งชี้ไปที่ด้านหลัง “ไม่พูดถึงร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ พูดถึงแค่เทวรูปบนเกาะนั้น ข้ารังเกียจที่มันขวางทางข้า ก็เลยฟันมันขาดครึ่งท่อนในครั้งเดียว เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร? มาพูดถึงร่องน้ำเส็งเคร็งแห่งนี้ ข้ารู้สึกว่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ขวางหูขวางตา เลยใช้ปราณกระบี่ชะล้างมัน ทีนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “น่าจะถือว่าเผด็จการไร้เหตุผลไปหน่อย”
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือศิษย์พี่ของอาจารย์ฉีจึงรีบเอ่ยเสริม “กระมัง?”
บุรุษหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพูดจาเกรงใจกันไม่น้อย ถือว่าอะไร เดิมทีก็ใช่อยู่แล้ว!”
เขาใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่เล่มยาวที่ห้อยไว้ตรงเอว ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าที่เป็นบัณฑิตถึงได้ตั้งใจเรียนกระบี่มากกว่าเรียนหนังสือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เขาแค่เคยได้ยินอาเหลียงกับเด็กหนุ่มชุยฉานพูดถึงคนผู้นี้เป็นบางครั้ง ฝ่ายแรกไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของซิ่วไฉ่เฒ่าที่มีวิชากระบี่สูงส่งที่สุด ส่วนฝ่ายหลังกลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนหนึ่งหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน อีกคนหนึ่งเป็นพวกนอกรีตนอกรอย ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ในอดีตเคยร่วมสำนักจะมีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ มาถึงท้ายที่สุด ‘คนแซ่จั่ว’ ในใจของเฉินผิงอันจึงเหมือนมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ สูงส่งจนไม่อาจปีนป่าย คว้าจับเอาไว้ไม่ได้
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมโบกมือ “ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าทำให้เสี่ยวฉีที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่เจ้าต้องผิดหวัง หากวันใดเจ้าทำได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมาเอาเรื่องเจ้าก็เป็นได้”
บุรุษที่ลอยตัวอยู่ใจกลางร่องน้ำเจียวหลงชูนิ้วหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าสูงส่งแค่ไหนก็เป็นเรื่องของกระบี่เดียวเท่านั้น”
สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่สั่งสอนศิษย์น้องก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
จะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล? เขาคร้านจะคิดให้มากความ การเป็นศิษย์พี่ก็คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
และเวลานี้เอง ทะเลเมฆพลันลดตัวลงต่ำ กายธรรมร่างทองสูงร้อยจั้งตนหนึ่งผุดลอยออกมา คือนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานหางปลา “เจ้าก็คือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าจั่วโย่ว? ได้ยินว่าหลายคนต่างพากันพูดว่าเจ้ามีเวทกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์? แม้แต่ที่ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังมีคนที่เลื่อมใสเจ้าอยู่มากมาย”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวเงยหน้าขึ้นมอง “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือไม่เห็นด้วย?”
นักพรตร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงดังกังวาน “เวทกระบี่ของเจ้าจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่สนใจ ก็แค่เห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น ไปหาสถานที่ต่อสู้กันให้สาแก่ใจสักครั้งดีไหมล่ะ?”
ผู้ฝึกกระบี่ยิ้มบางๆ “นักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอย่างเจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง แต่โชคดีกว่าข้าก็เท่านั้น ถึงได้เป็นลูกศิษย์ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ อาจารย์ของข้าสู้เขาไม่ได้ เพราะดีแต่ปากเก่ง แต่ต่อให้อาจารย์ของข้าจะมีหมื่นอย่างที่สู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้ เขาก็มีข้อหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่า นั่นก็คือซิ่วไฉเฒ่ามีลูกศิษย์อย่างข้า ส่วนลูกศิษย์สิบกว่าคนของเต๋าเหล่าเอ้อร์ซึ่งรวมเจ้าไว้ด้วยน่ะหรือ…”
บุรุษชุดเขียวยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ชูขึ้นสูงแล้วส่ายเบาๆ “ไม่ได้เรื่อง”
เขายังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แหงนหน้าพูดว่า “ยกตัวอย่างเช่นเจ้ายกกายธรรมใหญ่โตขนาดนี้มาเพื่ออะไร? เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้าก็ยัง…ไม่แน่พออยู่ดีไม่ใช่หรือ?!”
ไม่รอให้บุรุษพูดขาดคำ
คลื่นลูกยักษ์ร้อยจั้งก็โถมตัวขึ้นมาในทะเลกว้าง ปราณกระบี่เกรียงไกรที่หนาใหญ่กว่าเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของลำเสาแสงทะยานสู่ชั้นเมฆ กระแทกโจมตีให้กายธรรมร่างทองตนนั้นแหลกสลายไปในเสี้ยววินาที
เรือลำน้อยใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันที่ติดร่างแหไปด้วยกระเด้งกระดอนโคลงเคลงไปตามลูกคลื่น
เขาหันหน้าไปมองปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ทะยานสูงด้วยพลังอำนาจมหาศาล
ก่อนหน้านี้รู้สึกว่ากระบี่ที่ผ่าม่านราตรีซึ่งผีสาวสวมชุดแต่งงานร่ายไว้ของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคือสุดยอดของกระบี่บินในโลกแล้ว
บัดนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองหูตาแคบ มีความรู้แค่หางอึ่งเท่านั้น
กายธรรมร่างทองปริแตกไม่เหลือชิ้นดี แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงดุจเสียงระฆังใหญ่ดังก้องมาจากกลางอากาศ “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อยากเอาเปรียบเจ้า มีเจ้าหนูนั่นอยู่ด้วย เจ้าและข้าทั้งสองคนต่างก็ลงมือได้ไม่เต็มที่ ไม่สู้ไปที่น่านทะเลเกาะเฟิงเสินดีไหม?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียวเฒ่าสีทองที่ถูกปราณกระบี่อัดแน่นเต็มช่องโพรงลมปราณทั้งสามร้อยกว่าแห่งไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะฝืนประคับประคองไม่ให้ช่องโพรงระเบิดแตก
ที่แท้ไม่รู้ว่านักพรตสูงใหญ่ซึ่งเดินทางมาไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ผู้นั้นใช้วิชาอภินิหารอะไร ถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่กายธรรมร่างทองถูกปราณกระบี่ทำลาย ยื่นนิ้วข้างหนึ่งที่ขาวนวลเนียนราวกับหยกมาแตะที่หน้าผากของเจียวเฒ่า ฝ่ายหลังพลันร่างผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก จากนั้นจิตใจก็เหมือนขี้เถ้ามอด เรือนกายส่วนใหญ่จากในสู่นอกกลายเป็นขี้เถ้าที่ปลิวสลาย เหลือไว้เพียงชุดคลุมยาวสีทองที่ล่องลอยอยู่บนท้องทะเล รวมไปถึงวัตถุกึ่งอมตะบางส่วนที่เกิดจากการรวมตัวกันของขอบเขตก่อกำเนิด
ผู้ฝึกกระบี่ไม่แยแสเรื่องนี้
เขาเพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง พัดพาของที่เหลืออยู่ของเจียวเฒ่าชุดทองไปในเรือเล็กของเฉินผิงอัน “เก็บของผุๆ พวกนี้เอาไว้ให้ดี การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวรวมไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่หลังจากนี้ จงภาวนาให้ตัวเองโชคดีเถอะ”
เฉินผิงอันกุมมือประสานค้อมเอวลงต่ำ
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับการคำนับอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เขาทะยานลมไปยังทิศทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้พลางพึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค เสียงยังคงแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่พูดให้ตัวเองฟังหรือพูดให้เฉินผิงอันฟังกันแน่
“เป็นอมตะอายุยืนยาว ภูเขาและทะเลไร้พันธนาการ กินแสงอรุณดื่มน้ำค้าง ไม่กินธัญพืชทั้งห้าถือเป็นพวกแตกต่าง”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเรือเล็กเงียบๆ เก็บของสามชิ้นที่ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วโยนมาไว้ข้างเท้าเข้าไปในกระบี่บินสืออู่ ของสามอย่างนี้ได้แก่ชุดคลุมยาวสีทอง หนวดสีทองสองเส้นที่รัดพันเข้าด้วยกัน และไข่มุกเม็ดหนึ่งขนาดใหญ่เท่ากำปั้น สีของมันออกเหลือง หม่นแสงไม่มีประกาย คล้ายคลึงกับคำกล่าวที่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง (เป็นคำเปรียบเปรยว่าคนแก่แล้วก็ไม่ได้รับความสำคัญ เหมือนไข่มุกที่อยู่มานานจนกลายเป็นสีเหลืองที่ไม่มีค่า)
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน คลื่นลมเริ่มสงบ เงยหน้ามองไปก็เห็นฟ้าครามกับแสงแดดอบอุ่น
เฉินผิงอันหยุดพักชั่วขณะ ก่อนจะหยิบเอาไม้พายที่ถูกวาดยันต์ตัดโซ่ที่แท้จริงลงไปขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแจวเรือไล่ตามเกาะกุ้ยฮวาไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขออย่าให้เรือข้ามฟากขับไปถึงภูเขาห้อยหัวในรวดเดียว แล้วทิ้งตนไว้ท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เพียงลำพังเลย เฉินผิงอันเบิกตากว้าง พยายามเพ่งมองทิศไกล
หากเป็นเมื่อก่อนเฉินผิงอันคงไม่คิดว่าเกาะกุ้ยฮวาจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร?
ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตัวเองมีความคิดเช่นนี้อยู่
จิตใจเตลิดฟุ้งซ่านก็เป็นเช่นนี้เอง
ผู้ฝึกกระบี่ที่ทะยานลมจากไปไกลอย่างอิสระเสรีพลันหยุดชะงักในตำแหน่งที่เฉินผิงอันไม่มีทางมองเห็น แล้วหันหน้ากลับไปมอง
ในสายตาของบุรุษเห็นเด็กหนุ่มจากต้าหลี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!