หญิงชราเป็นคนทำลายความเงียบ “ก่อนหน้านี้ที่เจียวชั่วสีทองออกกระบี่ต่อเจ้าสองครั้ง ครั้งแรกอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนเกินไป ส่วนครั้งหลังต่อให้เป็นข้าก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เว้นเสียแต่ว่าข้าจะทุ่มสุดชีวิต แต่ออกจากบ้านครานี้ ข้าจำเป็นต้องดูแลนายน้อยของตัวเองให้ดี ดังนั้นเรื่องครั้งนี้นายน้อยต้องเอ่ยขอบคุณเจ้า ส่วนหญิงชราที่ไร้ประโยชน์อย่างข้าก็ต้องเอ่ยขออภัยเจ้า”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกมือกุมประสาน “น้ำใจครั้งนี้ ข้ารับไว้แล้ว!”
หญิงชราผงกศีรษะ คลี่ยิ้มบางๆ “คุณชายมีคุณธรรม วันหน้าหากไปเยือนธวัลทวีป ต้องมาเป็นแขกที่ตระกูลหลิวของเราให้ได้”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
หญิงชราจึงพาเด็กหนุ่มแซ่หลิวที่สวมชุดไม้ไผ่ ‘หลีกเลี่ยงความร้อน’ บอกลาจากไป
คนทั้งสองเดินสวนไหล่กับหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง พอนางประสานสายตากับเฉินผิงอันก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยังดีที่หญิงสาวหมุนกายจากไปเสียก่อน
เฉินผิงอันถึงได้เดินกลับไปที่ลานบ้าน แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดิน หันไปมองแม่นางกุ้ยฮวาที่มีท่าทางกระวนกระวายแล้วยิ้มบางๆ พูดกับนางว่า “รบกวนแม่นางหน่อย หากหลังจากนี้มีคนมาพบข้า แม่นางช่วยขวางไว้ให้ข้าด้วย”
แม่นางกุ้ยฮวาพยักหน้ารับอย่างแรง
สองวันต่อมา เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกวิชาหมัดหรือฝึกกระบี่อย่างหาได้ยาก เขาเอาแต่เปิดตำราและแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลาย นั่งอาบแดดอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านใน
กลางดึกคืนหนึ่ง เฉินผิงอันที่นอนอยู่บนเตียงแล้วลืมตา ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้อง กระโดดขึ้นไปบนหลังคา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับไป จากนั้นไม่นานเงาร่างหนึ่งก็พุ่งมานั่งลงข้างกายเขา ในมือของแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้หิ้วเหล้าหมักเก่าแก่มาด้วยสองไห
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านผู้อาวุโส หาเพื่อนดื่มหรือ?”
เขาก็คือคนพายเรือเฒ่าที่ต่อสู้กับเจียวเฒ่าชุดทองอย่างห้าวหาญแม้ตายก็ไม่ยอมถอย
ผู้เฒ่าที่ใช้สถานะคนพายเรือปกปิดตัวตนแท้จริงมาโดยตลอดหัวเราะเสียงดังกังวาน “ทำไม รังเกียจที่คนแก่อย่างข้าสกปรกมอซอรึ?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ใช่เสียเมื่อไหร่”
ผู้เฒ่าแกะผนึกดินของไหเหล้าออก แหงนหน้ากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่แล้วก็เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อผ่านหายนะครั้งนี้ บนเกาะกุ้ยฮวาก็คล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่เดิมทีมีปลาและมังกรปะปนกัน ซึ่งโดยรวมแล้วยังพอจะถือว่ามีระเบียบอยู่บ้าง ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนกัน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกไม้พายกวนไปรอบหนึ่งเลยเปลี่ยนมาเป็นขุ่นคลั่กสกปรก ระยะเวลาช่วงนี้เจ้าอาศัยอยู่ในเรือนเล็กถือว่าถูกแล้ว ระวังตัวไว้เป็นการดี แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้แค่ว่าเจ้าคือคนที่ขัดขวางเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้น อีกทั้งยังทำให้ร่องน้ำเจียวหลงสงบลง แต่ข้าก็ยังจะพูดประโยคที่ไม่น่าฟังประโยคหนึ่ง ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนบนมหามรรคา ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด คนที่มองไม่เห็นทิวทัศน์นั้นมีไม่น้อยเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็เหมือนกับเพื่อนบ้านที่เห็นคนอื่นมีเงินไม่ได้ เห็นเมื่อไหร่จะต้องอิจฉาตาร้อน ที่จริงแล้วนี่ก็หลักการเดียวกัน ”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกาะกุ้ยฮวาคืออะไรกันแน่ ผู้อาวุโสพูดได้ไหม?”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ทำไมจะพูดไม่ได้เล่า อันที่จริงมันก็คือร่างจริงของกุ้ยฮูหยิน”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาคืออะไร?”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “คนบนภูเขา ผู้ฝึกลมปราณ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เกาะกุ้ยฮวาคือเรือข้ามฟากลำหนึ่ง ผู้ที่โดยสารเรือมาจะเป็นคนแบบไหน ย่อมเป็นคนทำการค้า”
เฉินผิงอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “คนทำการค้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร?”
คราวนี้เฉินผิงอันตอบเร็วมาก “หาเงิน”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ “แล้วหาเงินมาเพื่ออะไร?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ใช้เงิน”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ใช่แล้ว หาเงินมาอย่างยากลำบากก็เพื่อใช้เงินซื้อความสุข ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อได้ใช้เงินด้วย ผู้ฝึกลมปราณ เมธีร้อยสำนักใต้หล้า เหตุใดถึงได้มากมายเพียงนี้…”
เฉินผิงอันเกาหัวด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเริ่มดื่มเหล้า คราวนี้เขาดื่มเยอะแถมยังดื่มเร็ว ถือโอกาสทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนแผ่อยู่บนหลังคาอย่างสบายตัว “ผู้อาวุโส ข้าอยากจะพูดความในใจให้ท่านฟังสักหน่อย ท่านอย่าเอาไปบอกใครได้หรือไม่? อีกอย่างหากข้าพูดไป ท่านฟังแล้วอาจจะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีอะไร…”
ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ โน้มตัวไปด้านหน้า มือทั้งคู่แกว่งไหเหล้า เหล้าข้างในที่ยังเหลืออยู่ครึ่งไหส่งเสียงดังจ๊อกๆๆ ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาได้เลย ดื่มเหล้าแล้วไม่พูดถ้อยคำที่สุรากระตุ้นให้อยากพูดคงไม่เข้าท่านัก แบบนั้นจะยังดื่มเหล้าไปทำไม? ไอ้หนู อย่าเห็นว่าข้าอายุมากกว่าเจ้าจนนับได้ไม่ถ้วน อันที่จริงข้าน่ะทึ่มทื่อ กล้าหาญอย่างโง่งม อีกอย่าง มีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ ที่อดทนมาก็เพราะอยากพบหน้าอาจารย์อีกสักครั้ง หาไม่ข้าก็คงยืนหยัดมาไม่ถึงวันนี้นานแล้ว อีกอย่างเรื่องบางเรื่อง เจ้าพูดหรือไม่พูด อันที่จริงความต่างไม่ค่อยมากนัก ตอนนั้นข้าก็อยู่ข้างกายเจ้า ได้ยินทุกอย่างชัดเจน ที่มานี่ก็ไม่ใช่เพื่อจะมอมเหล้าหลอกถามเจ้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ท้องฟ้า “เมื่อก่อนข้าเจอนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บ้านเกิด ตอนนั้นความสัมพันธ์ยังดีอยู่ เขาก็คือลู่เฉินนั่นแหละ ในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาเล่นงานข้าสองครั้ง แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามครั้ง ข้าจะเล่าแค่สองครั้งที่ข้าแน่ใจ ครั้งหนึ่งคือตอนที่ข้า ‘ได้รับคำอวยพรจนจิตใจเปิดกว้าง’ เขียนสองคำว่าเทพพิรุณไม่ออก จึงตัดสินใจเขียนคำว่าลู่เฉินซะเลย ครั้งที่สองคือตอนที่ข้าเผชิญกับเจียวเฒ่าสีทองเพียงลำพังสองต่อสอง ตอนนั้นข้า…”
เฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางตรงท้อง มือทั้งคู่รองใต้ศีรษะต่างหมอน “ความรู้สึกนั้นประหลาดมาก ราวกับว่าข้าล้วนมองเห็นและได้ยินสภาพจิตใจ ทะเลสาบในหัวใจและเสียงในหัวใจของทุกคน ก็เหมือนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสบอกข้าก่อนหน้านี้ ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น ตอนนั้นข้าค้นพบว่าผู้โดยสารบนเกาะกุ้ยฮวาแปดเก้าในสิบส่วนรู้สึกเฉยชาไม่ยี่หระ บ้างก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หรือบางคนยังถึงขั้นอยากให้ข้าตายคาที่ด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่อิจฉาริษยา…ก่อนหน้านี้ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ท่านผู้อาวุโสบอกว่า ที่นี่คือเกาะกุ้ยฮวา ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้า อีกทั้งทุกคนยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าลองกลับไปย้อนนึกดู ก็ถูกนี่นะ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็ด้วยความคิดที่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถึงได้เดินมาจนถึงวันนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน “ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาคือมือกระบี่ ร้ายกาจมากเลยล่ะ ลู่เฉินเล่นงานข้า ข้าก็เลยผลักเขาลงหลุมกลับคืน จงใจบอกให้เขานำคำสั่งเสียสุดท้ายของข้าไปบอกต่อสหายคนนั้น หากลู่เฉินไม่คิดรักษาหน้าตาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของข้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องฝืนใจนำคำพูดของข้าไปบอก จากนั้นก็จะถูกเพื่อนของข้าอัดรอบหนึ่ง พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตอนนั้นข้าเลยไม่ได้รู้สึกกลัวตายสักเท่าไหร่”
เรื่องบางเรื่อง สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดออกมา
เพราะเกี่ยวพันไปถึงอาจารย์ฉี
ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ฉีก็ไม่ต้องการให้เขาผิดหวังต่อโลกใบนี้
ทว่าตอนนั้นเฉินผิงอันมีเพียงความรู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้
และเกรงว่านี่ก็คือแผนการที่แท้จริงของลู่เฉิน ส่วนรายละเอียดที่ว่ามันเกี่ยวพันไปถึงเรื่องใด เฉินผิงอันมีเพียงลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนเท่านั้น
เวลานี้นอนอยู่บนหลังคา สุดท้ายเฉินผิงอันพูดเพียงแค่ว่า “จะให้ไม่รู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้เสียเลย ช่างยากยิ่งนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!